คุณสมบัติ GFRP Rebar VS เหล็กเส้น
เพื่อสิ่งแวดล้อมของโลกเรา ที่ดีกว่าเดิม “GFRP REBAR”
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ GFRP ได้แก่ ความแข็งแรงที่มากกว่าเหล็กเส้นถึง 3 เท่า สมบัติในการทนต่อการกัดกร่อน น้ำหนักที่เบากว่าเหล็กเส้นถึง 4 เท่า สามารถม้วนได้ทำให้แพ็คเกจของผลิตภัณฑ์เหมาะสมแก่การขนส่งมากกว่าเหล็กเส้น และอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 80 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการต้านทานการเสื่อมสภาพของวัสดุที่ดีกว่าเหล็กเสริมทั่วไป
แหล่งที่มา : ผลิตภัณฑ์ เอสทีอี
BOQ คืออะไร ?
BOQ คืออะไร ? สำคัญอย่างไรเมื่อต้องสร้างบ้าน
BOQ ย่อมาจาก Bill of Quantities เป็นเอกสารการแสดงรายการค่าประมาณในการก่อสร้าง หรือราคากลางในการก่อสร้าง ใช้ในขั้นตอนของการหาผู้รับเหมาก่อนที่จะทำการก่อสร้างบ้านหรืออาคาร ประกอบด้วย รายละเอียดของปริมาณงานและราคาวัสดุก่อสร้าง ที่ถูกถอดมาจากแบบก่อสร้างทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แบบสถาปัตยกรรม แบบวิศวกรรมโครงสร้าง แบบวิศวกรรมงานระบบ
แสดงความคิดเห็น
8 เรื่องน่ารู้ ก่อนออกแบบสระว่ายน้ำในบ้าน
เพราะสระว่ายน้ำส่วนตัวถือเป็นฟังก์ชั่นหนึ่งของบ้านที่สามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับการออกกำลังกายและการผ่อนคลายในแต่ละวันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปพักผ่อนตามโรงแรม รีสอร์ท หรือชายหาด ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมของคนในครอบครัวแล้ว การมีสระว่ายน้ำไว้ในบริเวณบ้านยังสามารถเสริมภาพลักษณ์ที่สวยงามโดดเด่นให้ตัวบ้านสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่กำลังคิดจะสร้างบ้านใหม่ให้มาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว หรือคิดจะรีโนเวทพื้นที่เดิมรอบบ้านให้กลายเป็นมุมสระน้ำ แต่ยังไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากอะไรจึงจะสามารถออกแบบสระว่ายน้ำให้เหมาะสมกับบ้านและการใช้งานมากที่สุด
สำรวจก่อนสร้าง
ก่อนที่จะคิดก่อสร้างสระว่ายน้ำในบ้านแนะนำว่าควรเริ่มต้นจากการสำรวจพื้นที่รอบบ้านว่ามีขนาดเหมาะสมสำหรับการสร้างสระว่ายน้ำมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้จะมีขนาดพื้นที่ว่างที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่ก็ควรมีขนาดที่ดินพอดีกับการก่อสร้างสระว่ายน้ำอย่างเหมาะสมโดยไม่มีขนาดเล็กจนเกินไป อย่างน้อยก็ควรมีสเปซพอสำหรับการว่ายน้ำออกกำลังกายอย่างเพียงพอ หากเป็นบ้านที่กำลังสร้างใหม่ก็จะช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลือกได้ว่าที่ดินขนาดเท่าใดที่จะสามารถสร้างเป็นสระว่ายน้ำในบ้านได้อย่างลงตัว และยังง่ายต่อการออกแบบบ้านไปพร้อมกับการจัดสรรพื้นที่โดยรอบให้เป็นโซนสระว่ายน้ำหรือมุมสวนของบ้านได้อย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน แต่หากเป็นบ้านหลังเก่าที่ต้องการออกแบบสระว่ายน้ำเพิ่มเติมอาจมีขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้นมากกว่าบ้านสร้างใหม่ตรงที่ต้องมาเดินสำรวจพื้นที่รอบบ้านที่มีอยู่ให้แน่ใจว่าสามารถก่อสร้างสระว่ายน้ำได้หรือไม่ โดยควรวางแผนปรึกษาการก่อสร้างร่วมกับทีมสถาปนิกที่มีความชำนาญ เพื่อให้สามารถออกแบบคำนวนในการก่อสร้างสระว่ายน้ำได้อย่างลงตัวกับพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด
กำหนดตำแหน่งสระว่ายน้ำ
การสร้างสระว่ายน้ำในบ้านที่ดีควรมีการกำหนดตำแหน่งและทิศทางของสระว่ายน้ำอย่างเหมาะสม เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้พื้นที่รอบบ้านสวยงามลงตัวและมีบรรยากาศที่สอดคล้องกับการใช้งานอย่างพอดี โดยควรเลือกตำแหน่งของสระว่ายน้ำให้อยู่ในบริเวณที่สามารถสังเกตและมองเห็นได้จากพื้นที่ในบ้านที่มีการใช้งานอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังควรมีการคำนวนทิศทางของแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้ทุกช่วงเวลาของการใช้งานสระว่ายน้ำไม่อยู่ในทิศทางที่ต้องเผชิญแสงแดดจัดระหว่างวันมากจนเกินไป หากเป็นสระว่ายน้ำที่ต้องอยู่ในบริเวณใกล้กับตัวบ้าน แนะนำว่าควรจัดวางตำแหน่งของสระว่ายน้ำไว้ในบริเวณทิศตะวันออกหรือทิศเหนือของตัวบ้าน เพื่อใช้ประโยชน์จากร่มเงาของอาคารช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดที่สะท้อนผ่านผิวน้ำไปรบกวนการอยู่อาศัยภายในบ้าน และที่สำคัญคือไม่ควรกำหนดตำแหน่งของสระว่ายน้ำไว้ในบริเวณทิศตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดมารบกวนในขณะว่ายน้ำ
เลือกโครงสร้างสระว่ายน้ำที่ลงตัว
สำหรับสระว่ายน้ำที่นิยมสร้างโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
• สระว่ายน้ำแบบคอนกรีต เป็นสระว่ายน้ำที่มีโครงสร้างพื้นและผนังของสระว่ายน้ำเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก จึงทำให้สระว่ายน้ำประเภทนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องบำรุงรักษามากนัก อีกทั้งยังสามารถออกแบบรูปทรงของสระว่ายน้ำได้อย่างหลากหลายตามต้องการ
• สระว่ายน้ำแบบสำเร็จรูป คือสระว่ายน้ำที่ได้รับการการผลิตขึ้นจากวัสดุโพลิเมอร์สำเร็จรูปมาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว โดยสามารถนำมาติดตั้งบนพื้นที่ซึ่งมีการออกแบบโครงสร้างไว้สำหรับการติดตั้งสระว่ายน้ำสำเร็จรูปในบริเวณที่กำหนด จึงช่วยทำให้สามารถติดตั้งได้อย่างง่ายดาย
และนอกจากสระว่ายน้ำสำเร็จรูปแบบปกติที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไปแล้ว ยังมีสระว่ายน้ำสำเร็จรูปอีกชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นจากโครงสร้างเหล็กหรือพลาสติดหล่อที่มีคุณภาพ ซึ่งปูด้วยผ้าไวนิลที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้งานกับสระว่ายน้ำโดยตรง โดยมีการใช้แรงดันน้ำเพื่อบังคับให้ผ้าไวนิลติดไปกับโครงสร้างพื้นและผนังของสระว่ายน้ำ และเนื่องจากเป็นสระว่ายน้ำสำเร็จรูปที่ออกแบบจากโรงงาน จึงทำให้สระว่ายน้ำสำเร็จรูปประเภทนี้มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถออกแบบรูปทรงได้อย่างหลากหลายตามต้องการ และต้องเปลี่ยนผ้าไวนิลในระยะทุก 10 ปี แต่ก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือราคาค่อนข้างถูกกว่าสระว่ายน้ำประเภทอื่น อีกทั้งยังสามารถก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว
ระบบสระว่ายน้ำแบบไหนดี
ระบบสระว่ายน้ำที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ระบบด้วยกัน ได้แก่
• ระบบ Over Flow หรือระบบน้ำล้น เป็นระบบที่มีการนำน้ำไปบำบัด ด้วยวิธีการทำให้น้ำในสระล้นออกมาบริเวณรางน้ำล้นด้านข้างสระว่ายน้ำที่มีการออกแบบเตรียมไว้ จากนั้นระบบจะมีการนำน้ำที่ล้นออกมาไปพักไว้บริเวณถังพักน้ำก่อนที่จะปั๊มน้ำเพื่อไปผ่านกระบวนการของเครื่องกรองน้ำในห้องเครื่องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สามารถนำน้ำหมุนเวียนมาใช้ได้อย่างสะอาดอยู่เสมอแล้ว การใช้ระบบสระว่ายน้ำประเภทนี้ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้สระว่ายน้ำของบ้านดูสวย เนื่องจากพื้นผิวของน้ำจะกลืนเต็มพื้นที่ในระดับเดียวของสระว่ายน้ำตลอดเวลา
• ระบบ Skimmer เป็นระบบที่มีการนำน้ำไปบำบัด ด้วยการดีไซน์ช่องด้านข้างของผนังสระให้สามารถเป็นทางผ่านของน้ำไปสู่กระบวนบำบัด จึงทำให้การออกแบบสระว่ายน้ำด้วยระบบนี้จะมีระดับของผิวน้ำที่อยู่ต่ำกว่าพื้นขอบสระ อีกทั้งยังสามารถช่วยประหยัดงบประมาณได้มากกว่าระบบสระว่ายน้ำประเภท Over Flow เนื่องจากระบบสระว่ายน้ำแบบ Skimmer ไม่จำเป็นต้องมีถังพักน้ำ และยังช่วยประหยัดน้ำได้ดีด้วยเช่นกัน
ระบบบำบัดน้ำที่เหมาะสม
นอกจากการออกแบบระบบสระว่ายน้ำแล้ว การสร้างสระว่ายน้ำที่ดียังควรมาพร้อมระบบบำบัดน้ำที่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้ระบบบำบัดในสระว่ายน้ำอยู่ 3 ระบบ ด้วยกัน
• ระบบเกลือ สำหรับระบบบำบัดน้ำประเภทนี้เป็นระบบที่ใช้วิธีการฆ่าเชื้อโรคด้วยเกลือ ซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ดีต่อสุขภาพ เพราะสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวกายได้ดี แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยราคาติดตั้งที่ค่อนข้างสูง และถึงแม้จะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือแต่ก็ไม่ได้มีค่าความเค็มสูงเช่นน้ำทะเล แต่การใช้ระบบบำบัดน้ำประเภทนี้จะมีค่าความเป็นด่าง ซึ่งทำให้น้ำในสระว่ายน้ำมีรสกร่อยเล็กน้อยเท่านั้น
• ระบบคลอรีน เป็นระบบฆ่าเชื้อโรคที่มีราคาถูกมากกว่าระบบบำบัดน้ำแบบเกลือ จึงเป็นระบบบำบัดน้ำที่ได้รับความนิยมใช้งานมากที่สุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่คลอรีนจะอยู่ในรูปแบบของเหลวชนิดน้ำ คลอรีนแบบผง และคลอรีนแบบเม็ด โดยนำมาละลายลงในสระว่ายน้ำ ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อค่า pH ในน้ำอยู่ที่ 7.2-7.8 สำหรับสระว่ายน้ำที่เลือกใช้ระบบคลอรีนและมีค่า pH ในน้ำต่ำหรือมีความเป็นกรดสูงเกินไป แนะนำให้เติมสารที่เป็นด่างเพื่อปรับค่า pH ในน้ำ หรือหากในน้ำมีค่าความเป็นด่างมากก็แนะนำว่าควรเติมสารที่มีค่าเป็นกรดลงไปก่อนที่จะละลายคลอรีนลงในน้ำเพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรค แต่เนื่องจากสารคลอรีนที่ละลายอยู่ในน้ำอาจส่งผลระคายเคืองต่อผิวหนัง จึงควรละลายคลอรีนลงในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรคในช่วงเย็นหลังจากใช้สระว่ายน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะดีที่สุด พร้อมกับการเปิดเครื่องกรองไว้ด้วยอย่างน้อยประมาณ 3-4 ชั่วโมง
• ระบบโอโซน คือระบบสำหรับฆ่าเชื้อโรคในน้ำโดยการผลิตก๊าซโอโซนจากเครื่องอัดอากาศเพื่อใช้สำหรับบำบัดน้ำในสระว่ายน้ำ แม้จะเป็นระบบบำบัดน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เพราะไม่มีสารตกค้างในสระว่ายน้ำ แต่ระยะเวลาที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำจะค่อนข้างสั้นกว่าระบบบำบัดน้ำประเภทอื่น อีกทั้งยังมีราคาการติดตั้งที่แพงกว่า
รูปทรงของสระว่ายน้ำ
ส่วนมากแล้วจะนิยมออกแบบสระว่ายน้ำเป็นรูปทรงที่แตกต่างกันอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ สระว่ายน้ำรูปทรงเรขาคณิต และสระว่ายน้ำรูปทรงอิสระ
สำหรับบ้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นทันสมัยหรือบ้านที่เน้นความสวย เท่ เรียบง่าย จะเหมาะสำหรับสระว่ายน้ำรูปทรงเรียบแบบเรขาคณิตที่มีความสอดคล้องกับรูปฟอร์มของบ้านที่ค่อนข้างมีความเรียบง่ายและทันสมัย แต่หากเป็นบ้านที่โดดเด่นด้วยสไตล์ทรอปิคอล หรือแบบบ้านที่มีกลิ่นอายย้อนยุคหน่อยจะเหมาะกับสระว่ายน้ำรูปทรงอิสระที่ช่วยสะท้อนความผ่อนคลายให้กับพื้นที่รอบบ้านได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรออกแบบให้สระว่ายน้ำมีรูปทรงซับซ้อนมากเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความยุ่งยากจากการปูกระเบื้องตกแต่งพื้นผิวของสระว่ายน้ำและการทำความสะอาดตามซอกมุมที่ยากจะเข้าถึง
วัสดุตกแต่งพื้นผิวสระว่ายน้ำ
• การปูกระเบื้อง กระเบื้องที่มีขนาดเล็กและกระเบื้องโมเสกหลากสีคือหนึ่งวัสดุที่นิยมนำมาใช้ตกแต่งพื้นผิวของสระว่ายน้ำให้สวยงาม เพราะสามารถแต่งแต้มสีสันแบบไล่เฉดสีที่แตกต่างกันไปได้ตามความชื่นชอบ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้สระว่ายน้ำเกิดเป็นมิติที่สวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวบ้านได้อีกทางหนึ่ง แต่หากกระเบื้องตกแต่งสระว่ายน้ำยิ่งมีขนาดเล็กมากเท่าไหร่ ก็จะมีรอยต่อระหว่างยาแนวมากเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นจุดสะสมของคราบสกปรกตามรอยต่อบนพื้นผิวของสระว่ายน้ำได้เช่นกัน
• คอนกรีตขัดมันผสมสี ไม่เพียงการตกแต่งพื้นผิวของสระว่ายน้ำด้วยการปูกระเบื้องเท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังนิยมตกแต่งพื้นผิวสระว่ายน้ำด้วยพื้นผิวคอนกรีตขัดมันผสมสี เพราะสามารถสร้างความสวยงามให้สระว่ายน้ำมีความกลมกลืนเป็นพื้นผิวที่ต่อเนื่องกันได้อย่างสวยงาม แต่ต้องยอมรับว่าการตกแต่งพื้นผิวของสระว่ายน้ำในลักษณะนี้จะมีโอกาสเกิดการรั่วซึมของน้ำได้มากกว่าสระว่ายน้ำที่ตกแต่งพื้นผิวด้วยการปูกระเบื้อง
ที่มา : 8 เรื่องน่ารู้ ก่อนออกแบบสระว่ายน้ำในบ้าน (forfur.com)
แสดงความคิดเห็น (1)
เลือกวัสดุปูพื้นโรงจอดรถให้ตอบโจทย์การใช้งาน
โรงจอดรถนับเป็นพื้นที่ด่านแรกก่อนย่างก้าวเข้าสู่พื้นที่ในบ้าน ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับการจอดรถในบ้านแล้ว การออกแบบพื้นที่ในบริเวณนี้ให้สวยงามยังถือเป็นหน้าตาของบ้านที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์และบรรยากาศที่่น่าอยู่ให้กับตัวบ้านมากยิ่งขึ้น โดยส่วนมากจะนิยมออกแบบโรงจอดรถไว้บริเวณด้านหน้าของบ้านเพื่อให้สะดวกต่อการนำรถ เข้า-ออก ได้อย่างง่ายดาย บางบ้านอาจจะมีการออกแบบโรงจอดรถให้มาพร้อมหลังคาสำหรับกันแดดและกันฝน หรือบางบ้านอาจเปิดโล่งไปเลยก็มีให้เห็นอยู่มากทั้งในบ้านจัดสรรทั่วไปและบ้านที่ปลูกสร้างขึ้นเอง นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งบ้านในบริเวณโรงจอดรถด้วยวัสดุที่มีความหลากหลายแตกต่างกันออกไป เราลองมาดูกันว่ามีวัสดุอะไรบ้างที่นิยมนำมาใช้ตกแต่งเป็นพื้นในบริเวณโรงจอดรถของบ้าน
พื้นคอนกรีต
การตกแต่งพื้นบริเวณโรงจอดรถของบ้านส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรเพิ่มเติมมากนักมักจะมาพร้อมการเทพื้นคอนกรีตแบบเรียบง่าย ซึ่งมีข้อดีคือมีขั้นตอนที่รวดเร็วกว่างานตกแต่งพื้นด้วยวัสดุชนิดอื่น ไม่ทำให้เปลืองงบประมาณมากนัก แต่ด้วยพื้นผิวของคอนกรีตที่ค่อนข้างมีผิวสัมผัสที่หยาบและไม่เรียบเนียน จึงอาจทำให้เกิดคราบฝังลึกตามพื้นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น คราบตะไค่น้ำ คราบดำที่เกิดจากการสะสมฝุ่นและความสกปรก ซึ่งส่งผลให้พื้นคอนกรีตเป็นคราบสกปรกที่ดูไม่สวยงามได้เมื่อเวลาผ่านไป อีกทั้งพื้นคอนกรีตยังสามารถสะสมความร้อนในช่วงกลางวันค่อนข้างมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการอยู่อาศัยในช่วงเวลากลางคืนได้เช่นกัน อาจลองใช้วิธีแก้ไขโดยการดีไซน์พื้นคอนกรีตหน้าบ้านให้มีสเปซที่ช่วยระบายความร้อนได้มากขึ้น ด้วยการจัดวางบล็อกปูพื้นในบางจุดสลับกับพื้นคอนกรีต ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามให้พื้นที่หน้าบ้านมีมิติมากขึ้นแล้ว ยังช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ในพื้นคอนกรีตได้อีกด้วย
พื้นคอนกรีตพิมพ์ลาย
เป็นรูปแบบของพื้นที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้พิมพ์ลวดลายลงบนพื้นผิวคอนกรีต เพื่อสร้างลวดลายบริเวณพื้นหน้าบ้านให้สวยงามโดดเด่นและมีความทนทานในการใช้งานบริเวณโรงจอดรถที่ต้องรองรับน้ำหนักค่อนข้างมาก โดยมีการลงสี พิมพ์ลาย และเคลือบเงาบนพื้นผิวคอนกรีตอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามให้พื้นหน้าบ้านแล้ว การแต่งพื้นที่บริเวณโรงจอดรถด้วยพื้นพิมพ์ลายยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้พื้นที่ใช้งานมีความแข็งแรงทนทานและสามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
พื้นหินกรวดล้าง ทรายล้าง
สำหรับบ้านที่ต้องการเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้พื้นที่โรงจอดรถหน้าบ้านดูสวยกลมกลืนเข้ากับมุมสวนรอบบ้าน ก็แนะนำให้ลองตกแต่งพื้นโรงจอดรถด้วยหินกรวดล้าง ทรายล้าง ก็สามารถเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้ภูมิทัศน์ของบ้านสวยงามอย่างรื่นรมย์ เพราะเป็นการตกแต่งพื้นด้วยวัสดุที่เป็นธรรมชาติ โดยการนำหิน กรวด และทราย มาผสมเข้ากับปูนซีเมนต์ขาวก่อนที่จะนำมาใช้ฉาบบนพื้นบ้าน จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการล้างคราบซีเมนต์ออกจากผิวด้านหน้าเพื่อให้เห็นความสวยงามของหินธรรมชาติที่ผสมอยู่ในพื้นซีเมนต์ที่ฉาบไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยเติมเต็มความเป็นธรรมชาติให้พื้นที่หน้าบ้านบริเวณโรงจอดรถมากขึ้นแล้ว การแต่งพื้นด้วยวัสดุชนิดนี้ยังมีความทนทานสูง และสามารถป้องกันการลื่นได้ดี
พื้นกระเบื้อง
หากต้องการเพิ่มความสวยหรูหรือโมเดิร์นให้บ้านดูทันสมัย อาจต้องเลือกตกแต่งพื้นที่บริเวณโรงจอดรถด้วยการปูพื้นกระเบื้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยมอบความสวยงามให้กับตัวบ้านได้ดีแล้ว การแต่งบ้านบริเวณโรงจอดรถด้วยการปูกระเบื้องลงบนพื้นยังช่วยทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาดชำระล้างมากยิ่งขึ้น โดยควรเลือกกระเบื้องสำหรับปูพื้นที่เหมาะกับการใช้งานบริเวณโรงจอดรถ ไม่ควรเป็นกระเบื้องชนิดเดียวกับที่ปูภายในบ้าน เพราะอาจทำให้เกิดการทรุดตัวหรือแตกร้าวได้ง่ายจากการรองรับน้ำหนักจำนวนมาก จึงควรเลือกปูพื้นด้วยกระเบื้องปูพื้นที่เหมาะสำหรับพื้นที่นอกบ้านโดยตรง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผิวที่ค่อนข้างหยาบและมีความแข็งแกร่งทนทานมากกว่ากระเบื้องชนิดที่ใช้ปูตกแต่งภายในบ้าน ก็จะช่วยมอบความทนทานให้ใช้งานได้ยาวนาน และด้วยพื้นผิวที่ไม่เรียบลื่นจนเกินไปยังช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี
มากกว่าเรื่องความสวยงาม คือการตกแต่งบ้านให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ไม่เว้นแม้แต่การปูพื้นบริเวณโรงจอดรถหน้าบ้านที่ควรเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมทั้งการใช้สอยและสไตล์การตกแต่งบ้าน เพื่อให้บ้านที่คุณอยู่อาศัยมาพร้อมความสวยงามที่ลงตัวกับการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
ที่มา : เลือกวัสดุปูพื้นโรงจอดรถให้ตอบโจทย์การใช้งาน (forfur.com)
แสดงความคิดเห็น
ปลูกต้นไม้ในบ้าน ดีจริงหรือเป็นภัยร้ายใกล้ตัว?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสของการจัดสวนปลูกต้นไม้ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเสมอมา เพราะนอกจากพืชพรรณไม้เหล่านี้จะสามารถเพิ่มความสวยงามให้พื้นที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดีแล้ว การจัดสวนปลูกต้นไม้ยังสามารถสร้างบรรยากาศในแต่ละวันให้รื่นรมย์และชวนผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการจัดสวนนอกบ้านสำหรับที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากพอต่อการจัดสวนแล้ว การนำพืชพรรณทั้งไม้ดอกและไม้ประดับมาจัดสวนในบ้านยังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะสามารถเพิ่มเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติให้พื้นที่ในบ้านสวยงามและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น แต่หลายคนอาจกังวลใจว่าการปลูกต้นไม้ในบ้านจะเป็นอันตราย เพราะต้นไม้จะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในตอนกลางคืน และอาจเป็นการทำลายสุขภาพของผู้อยู่อาศัย
แต่จากผลการวิจัยได้พบว่า คาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้ปล่อยออกมาในเวลากลางคืนนั้นมีปริมาณที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับสารเคมีที่ผสมปะปนอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนเครื่องใช้ หรือสารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ในการตกแต่งบ้านและการใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เลี้ยงในห้องนอนเดียวกันก็ยังนับว่าสัตว์เลี้ยงในบ้านสามารถปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาได้มากกว่าการปลูกต้นไม้ในบ้านเหมือนอย่างที่เราคิด
เลือกพรรณไม้สำหรับปลูกในบ้าน
เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับการปลูกต้นไม้ในบ้านได้มากขึ้น อาจเริ่มจากการคัดสรรพรรณไม้ที่เหมาะสมด้วยคุณสมบัติสำหรับการปลูกต้นไม้ในบ้าน ด้วยการเลือกใช้พรรณไม้ชนิดกลางคืนที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี ถึงแม้จะไม่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับการซื้อเครื่องฟอกอากาศ แต่ต้นไม้ในบ้านที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติประเภทนี้ก็สามารถทำให้หลายคนที่อยากปลูกต้นไม้ในบ้านพอมั่นใจได้ว่าต้นไม้เหล่านี้จะช่วยลดปริมาณสารเคมีในบ้าน หรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในบ้านได้บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งนอกจากจะทำให้สามารถปลูกต้นไม้ในบ้านได้อย่างไร้กังวลใจแล้ว ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติในการฟอกอากาศยังช่วยทำให้พื้นที่ในบ้านมีอากาศที่บริสุทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม
พื้นที่ปลูกต้นไม้ในบ้านที่เหมาะสม
สำหรับการปลูกต้นไม้ในบ้านที่ดี นอกจากการคัดเลือกพรรณไม้แล้ว ยังควรคำนึงถึงพื้นที่สำหรับการปลูกให้มีความเหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยควรพิจารณาว่าพื้นที่อยู่อาศัยในบริเวณใดที่เหมาะต่อการปลูกต้นไม้ และมีขนาดพื้นที่เหมาะสมกับการจัดสวนรูปแบบใดมากที่สุด ซึ่งโดยส่วนมากไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็มักจะมีสเปซสำหรับการจัดสวนในบ้านที่ไม่ได้มากเท่าพื้นที่การจัดสวนภายนอก รูปแบบที่เหมาะสมต่อการจัดสวนในบ้านมากที่สุดจึงเป็นการจัดสวนกระถางที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย มีหลากหลายขนาดที่สามารถเลือกดีไซน์ได้อย่างลงตัวกับพื้นที่ใช้งานที่มีอยู่ หรืออาจเป็นการจัดสวนกระถางแขวนก็นับเป็นไอเดียหนึ่งที่นิยมนำมาใช้สำหรับการจัดสวนในบ้านเช่นกัน
แสงแดดกับต้นไม้ในบ้าน
นอกจากการคัดเลือกพรรณไม้ที่เหมาะสมแล้ว พื้นที่สำหรับการจัดวางต้นไม้ในบ้านยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม โดยควรพิจารณาว่าต้นไม้ที่นำมาปลูกนั้นต้องการแสงแดดมากน้อยเพียงใด หากเป็นพรรณไม้ในร่มที่ไม่ชอบแสงแดดมากนัก แนะนำว่าควรจัดวางมุมสวนในบ้านให้เลี่ยงจากการเผชิญแสงแดดโดยตรง ไม่ควรนำต้นไม้ไปไว้ในบริเวณที่ใกล้กับพื้นที่ริมหน้าต่างที่แสงแดดสามารถส่องถึงได้ง่าย แต่หากเป็นพรรณไม้ที่นิยมนำมาปลูกไว้ในบ้านทั่วไป หรือเป็นพรรณไม้ที่ต้องการแสงแดดรำไร แนะนำว่าควรนำต้นไม้ไปจัดวางไว้ในบริเวณที่สามารถรับแสงแดดจากธรรมชาติภายนอกได้อย่างเพียงพอ อย่างการจัดสวนกระถางไว้บริเวณริมหน้าต่างในห้องนอน น้องนั่งเล่น แต่ถึงจะเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ในบ้านก็ควรมีการนำกระถางต้นไม้ออกไปรับแสงแดดนอกบ้านบ้างตามความเหมาะสม เพื่อให้ต้นไม้ได้รับแสงธรรมชาติในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตมากที่สุด
รดน้ำอย่างไรให้ต้นไม้เติบโตได้ดี
การรดน้ำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการจัดสวนปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ไม้ในร่ม ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ หรือเป็นชนิดที่มีขนาดเล็ก ต่างก็ต้องคำนึงถึงปริมาณการรดน้ำอย่างเหมาะสมกับต้นไม้ในแต่ละชนิด ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้โดยตรงเช่นเดียวกับปริมาณแสงแดดที่ได้รับอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะต้นไม้ที่เหมาะกับการจัดสวนในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่ไม่ได้ต้องการปริมาณน้ำมากนัก แต่ควรมีการดูแลให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม เพราะหากให้น้ำในปริมาณที่มากจนเกินไปก็อาจทำให้รากของต้นไม้เน่าหรือส่งผลต่อการเจริญเติบโตในส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ต้นไม้บางชนิดที่ต้องการน้ำในปริมาณน้อย เพียงแค่ใช้กระบอกน้ำขนาดเล็กฉีดพ่นตามใบก็เพียงพอต่อความต้องการ หรือไม้บางชนิดต้องการน้ำแค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น โดยก่อนการปลูกต้นไม้จึงควรมีการศึกษาข้อมูลให้มั่นใจว่าพรรณไม้ชนิดใดควรได้รับการดูแลอย่างไร เพื่อให้ต้นไม้สามารถเจริญเติบโตได้ดี และอยู่คู่บ้านเพื่อความสวยงามไปอีกยาวนาน
ที่มา : ปลูกต้นไม้ในบ้าน ดีจริงหรือเป็นภัยร้ายใกล้ตัว? (forfur.com)
แสดงความคิดเห็น
5 ปัจจัยหลักในการ แต่งสวนให้สวย สร้างพื้นที่ธรรมชาติ
ปัจจัยหลักที่จะสามารถ แต่งสวนให้สวย หรือดูแลรักษาสวนหย่อมในบ้านของเราให้ดูมีชีวิตชีวา สวยสดงดงามอยู่เสมอ หากต้องการมีสวนสวยๆ ไปดูกันเลย
ความฝันของคนที่ยอมควักกระเป๋าซื้อบ้าน และเมื่อได้บ้านสวยๆ มาแล้ว ก็คงต้องอยากตกแต่งสวนสวยอย่างที่ใจต้องการเพิ่มเติมอีก แต่หลายคนมักเจอปัญหาแต่งสวนออกมาได้สวยแค่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผ่านไปสักพักจากสวนสวยๆก็กลายเป็นสวนร้างไปในทันที สาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น พื้นดิน ฟ้า ลม หรืออากาศ ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นแค่ไอเดียจัดตกแต่งสวนอย่างเดียวคงไม่พอ อาจจะต้องเพิ่มข้อควรระวัง 5 ข้อนี้เข้าไปด้วยเพื่อสวนสวยๆ อยู่คู่กับบ้านคุณไปได้อีกนานแสนนาน!!
1. มีเวลาบำรุงดูแลสวน
หากว่ามีสวนสวยๆ แต่ไม่มีเวลาชื่นชมดูแล ก็เท่ากับทิ้งให้สวนร้างอย่างน่าเสียดาย การที่จะรักษาให้สวนสวยอยู่ตลอดเวลาจำเป็นต้องให้ความใส่ใจ เพราะการตกแต่งสวนมีรายละเอียดมาก เช่น ใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้เป็นประจำ, ตัดแต่งทรงไม้ให้เป็นพุ่มอยู่เสมอ รวมไปถึงการดูแลภาชนะวัสดุที่ใส่ต้นไม้ให้พร้อมใช้ทาน้ำยาบำรุงป้องกัน ซึ่งต้นไม้เองก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่ไม่ต่างจากคน ถ้าเจ้าของสวนหลงลืมข้อนี้ไปสวนที่ภาคภูมิใจก็อยู่ได้ไม่นาน
2. เลือกต้นไม้ให้เหมาะกับสภาพอากาศ
บางครั้งเจ้าของสวนมักชอบเลือกต้นไม้ตามที่ใจชอบ แต่ลืมไปว่าต้นไม้แต่ละชนิดเหมาะกับสภาพอากาสที่ไม่เหมือนกัน เช่น เลือกพันธุ์ไม้ที่ไม่ชอบโดนแดด ไปปลูกกลางแจ้งบริเวณที่โดนแดดตลอดทั้งวัน สุดท้ายต้นไม้ก็จะถูกแดดเผาและตายลงไปในที่สุด ดังนั้นสิ่งสำคัญเวลาที่จะเลือกต้นไม้แต่งสวนต้องเข้าใจพันธุ์ไม้แต่ละชนิดก่อนว่าเหมาะกับการปลูกในพื้นที่แบบไหน ควรอยู่ในอุณหภูมิเท่าไหร่ เท่านี้ก็ช่วยให้ต้นไม้มีอายุได้นานขึ้นแล้ว
3. เลือกวัสดุให้ตรงกับการใช้งานในสวน
การวางแผนจัดสวนสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับต้นๆ คือศึกษาวัสดุที่จะนำมาใช้ให้ตอบโจทย์ของพื้นที่เสียก่อน เช่น หากอยากตกแต่งทางเดินสวนให้เป็นแบบสไตล์อังกฤษอบอุ่น แข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักได้มากๆ แต่เวลาเลือกวัสดุกลับเลือกเป็นประเภทเครื่องปั้นดินเผามาใช้ พอนานวันเข้าตัวกระเบื้องจะเริ่มแตก ร้าว พัง ไปเรื่อย ๆ ต้องเสียเวลา เงินทอง ทุบ รื้อออกมาซ่อมแซม เพราะคุณสมบัติของวัสดุไม่เหมาะกับการที่นำมาใช้งานจริง ทางที่ดีหากอยากตกแต่งเป็นสวนที่ดูแข็งแรง แนะนำว่าเลือกเป็นพื้นหินแกรนิตจะดีกว่า
4. หาแหล่งเลือกซื้อของที่ดีมาจัดสวน
อีกหนึ่งหัวข้อที่อาจดูเหมือนว่าไม่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วถือได้ว่าการเลือกซื้อวัสดุต้นไม้ของตกแต่งสวนจากแหล่งที่เชื่อถือได้เป็นเรื่องที่จะช่วยให้สวนคงสภาพสวยได้ เพราะหากว่าไปซื้อวัสดุจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ได้ของไม่ดีมา เช่น ต้นไม้ไม่แข็งแรง ลงสวนได้ไม่นานก็ผุพังก่อนเวลาอันควร อีกทั้งอาจะทำให้งบประมาณบานปลายในตอนท้ายอีกด้วย ฉะนั้นการที่มีข้อมูลแหล่งซื้อไว้บ้างจะช่วยให้ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ของไม่มีคุณภาพ แถมยังช่วยประหยัดได้ของดีราคาถูกอีกต่างหาก
5. เลือกต้นไม้ให้คำนวณพื้นที่
แผนการจัดสวนที่ดีคือต้องคำนวณเรื่องพื้นที่ที่จะลงต้นไม้ให้ดี เพราะหลายครั้งที่เจ้าของสวนมักตกม้าตายวางแผนอย่างดีแต่สุดท้ายลืมหัวข้อนี้ไป การเลือกต้นไม้ปลูกแต่ละประเภทจะมีปัจจัยแวดล้อมเป็นองค์ประกอบ ทั้งเรื่องของการเว้นระยะห่างของแต่ละพืชพรรณ แต่ละชนิด ต้องเว้นเท่าไหร่ ถึงจะสมดุลกัน ไม่ใช่ปลูกไม้ใหญ่บดบังไม้เล็ก ส่งผลให้แสงแดดส่องลงไปไม่ถึง ไม้เล็กก็จะเหี่ยวตายในที่สุด
ที่มา : 5 ปัจจัยหลักในการ แต่งสวนให้สวย สร้างพื้นที่ธรรมชาติ | BaanAZ.com
แสดงความคิดเห็น
ระแนงบังแดด
การติดตั้งระแนงให้สวย กันแสงได้สูงสุด
ระแนงบังแดด จัดเป็นวัสดุยอดนิยมอันดับต้นๆ สำหรับการตกแต่งภายนอกบ้าน ช่วยทำให้บ้านดูเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ ด้วยต้นทุนที่ไม่มากนัก สามารถประยุกต์ใช้ได้จากวัสดุที่หลากหลาย ทั้งไม้จริง ไม้เทียม เหล็ก ไวนิล เป็นต้น การบังแดดด้วยระแนง ช่วยเป็นเกราะป้องกันลดความร้อนของตัวอาคารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังพกพาความงดงามของเส้นสาย โดยเฉพาะเมื่อเกิดเส้นเงา จากแสงอาทิตย์สาดส่อง ยิ่งทำให้ดูมีชีวิตชีวา เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ การติดตั้งระแนงให้สามารถบังแสงได้อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องติดตั้งให้สอดคล้องกับทิศทางของแนวแสงแดด โดยหลักแล้ว จะมีการติดตั้ง 2 แบบ ดังนี้
ระแนงบังแดดแนวตั้ง แนวดิ่ง
เหมาะกับการติดตั้งไว้ในทิศตะวันออก และทิศตะวันตกของบ้าน เนื่องจากทิศทางของแสงแดดจะส่องมาในระดับต่ำ ไม่สูงมากนัก การวางแบบแนวดิ่งจึงสามารถบังแสงได้ดีกว่า โดยเฉพาะทิศตะวันตกมีความสำคัญมาก เนื่องจากแดดช่วงเย็นจะร้อนกว่าช่วงเช้า การติดตั้งควรระแนงแนวตั้ง ให้ทำมุมของแผ่นระแนงประมาณ 30 องศากับระนาบของผนังบ้าน
ระแนงบังแดดนอนนอน แนวราบ
เหมาะกับการติดตั้งระแนงไว้ในทิศใต้ และทิศเหนือ เนื่องจากทิศทางของแสงแดดจะส่องมาจากด้านบน การวางระแนงแนวราบจึงสามารถบังแสงได้ดีกว่า โดยเฉพาะทางทิศใต้ แดดจะส่งมากกว่าทิศเหนือ สำหรับการทำมุมองศาของระแนง หากติดตั้งระแนงไว้ทางทิศเหนือให้ขอบล่างทำมุม 10 องศาขึ้นไป และหากติดตั้งระแนงไว้ทางทิศใต้ ให้ทำมุม 37 องศาขึ้นไป เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้บ้านลดการรับแสงเข้ามาโดยตรงได้เยอะแล้ว
ที่มา : ระแนงบังแดด (idroof.com)
แสดงความคิดเห็น
8 เทคนิคเลือกบ้าน ช่วยให้อยู่แล้วไม่ร้อน
ในช่วงเดือนเมษายนแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนจัด เพราะอยู่ในช่วงฤดูร้อน อากาศโดยรวมสำหรับประเทศไทยแล้ว หากร้อนก็จะร้อนมาก ถึงแม้ว่าเราจะอาศัยอยู่ภายในบ้านแบบไม่โดนแสงแดด ก็กลับร้อนแบบตับแตกกันเลยทีเดียว ส่งผลทำให้หลายต่อหลายคน กลับไม่อยากที่จะอยู่ในบ้านหากไม่มีเครื่องปรับอากาศคอยช่วยเหลือ เนื่องจากบ้านที่เราอาศัยอยู่ส่วนใหญ่ มีอุณหภูมิที่ร้อนมากกว่าผิดปกติ จนกระทั่งอยู่ไม่ได้นั่นเอง
1.ดูทิศทางของบ้าน
ถ้าหากคุณต้องการให้บ้านของคุณนั้นเย็นสบายตลอดทุกฤดู โดยเฉพาะสร้างความเย็นในช่วงฤดูร้อนได้นั้น คุณควรเริ่มต้นที่จะออกแบบบ้าน โดยการวางตัวบ้านให้ขวางทางกับทางด้านทิศเหนือและใต้ ซึ่งการวางบ้านในทิศทางนี้ จะช่วยทำให้ผนังและหลังคาบ้าน ได้รับความร้อนที่น้อยกว่าการออกแบบบ้านให้ตั้งอยู่ในทิศทางอื่น ๆ รับรองเลยว่าถ้าอยู่ในทิศทางนี้ บ้านของคุณจะเย็นสบายขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอน
2.เลือกบ้านที่ใช้อิฐมวลเบาก่อสร้างผนังบ้าน
การเลือกใช้อิฐมวลเบาในการก่อสร้างผนังบ้าน หรือแม้กระทั่งก่อผนังในรูปแบบสองชั้น จะสามารถช่วยป้องกันความร้อนที่อาจจะสะสมอยู่ภายในตัวบ้าน หรือถ้าใครสนใจอยากจะใช้ฉนวนกันความร้อนที่ผนังบ้าน ก็สามารถช่วยป้องกันความร้อนได้เช่นกัน
3.เลือกบ้านที่ติดตั้งฝ้าชายคา
อากาศร้อนภายในบ้านที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งจะสะสมอยู่ภายใต้หลังคาบ้าน และมักจะระบายออกที่ชายคารอบบ้านของคุณ เพราะฉะนั้น การติดตั้งฝ้าชายคาบ้าน โดยใช้ฝ้าตราช้าง จะส่งผลทำให้ความร้อนที่มีอยู่ในตัวบ้านออกไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
4.เลือกบ้านที่ติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนไว้ใต้หลังคา
ความร้อนส่วนใหญ่ มักจะเข้าสู่ตัวบ้านทางด้านหลังคามากที่สุด เพราะฉะนั้นทางที่ดี คุณควรติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนที่ใต้หลังคาเป็นหลัก จะช่วยทำให้บ้านของคุณเย็นสบายได้ว่าที่เคยอย่างแน่นอน
5.เลือกสีของหลังคาบ้าน
สีของหลังคาบ้าน ย่อมมีผลต่อระดับความร้อนภายในตัวบ้านเช่นกัน เพราะฉะนั้น สีของหลังคาบ้าน ควรทาให้เป็นสีอ่อนมากกว่าสีเข้ม และที่สำคัญ ควรออกแบบที่จะวางหลังคาบ้านให้มีความลาดชัน โดยไม่เกิน 45 องศา เพื่อที่จะสามารถช่วยบังแดด ให้กับหลังคาอีกด้านของบ้านได้ด้วยนั่นเอง
6.ติดผนังด้านให้มีแผงกันแดดหรือระแนงไม้
สำหรับผนังบ้านที่อยู่ด้านทิศตะวันตก มักจะได้รับความร้อนมากที่สุด เพราะฉะนั้น ควรออกแบบผนังด้านของบ้าน ให้มีแผงกันแดดหรือระแนงไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนของแสงแดด ได้เข้ามากกระทบกับผนังบ้านโดยตรง
7.ปลูกต้นไม้ทรงพุ่มสูงทางด้านทิศตะวันตก
การปลูกต้นไม้ทางด้านทิศตะวันตก จะสามารถช่วยป้องกันแสงแดดไม่ให้กระทบกับตัวบ้าน ถือได้ว่าเป็นการลดอุณหภูมิของบ้านด้วยการเพิ่มร่มเงาของต้นไม้โดยตรง
8.เลือกบ้านที่สามารถให้ลมหมุนเวียนในบ้านได้
ในแต่ละห้องภายในบ้าน ควรมีหน้าต่างอย่างน้อยสองด้านเป็นหลัก เพื่อให้ลมที่ผ่านเข้ามานั้นมีทางออก เปรียบเสมือนเป็นการออกแบบบ้าน เพื่อให้ลมหมุนเวียนในบ้านได้นั่นเอง และที่สำคัญอย่างติดตั้งเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของต่าง ๆ บังทิศทางของลม
แม้ว่า สมัยนี้เราจะติดตั้งแอร์ ได้ แต่หากการได้บ้านที่อยู่แล้วเย็นสบาย จากเทคนิคการดูบ้าน 8 ข้อที่แนะนำนี้ ตั้งแต่ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ไม่แน่ก็อาจจะช่วยคุณประหยัดค่าไฟฟ้าได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนแบบนี้
ที่มา : 8 เทคนิคเลือกบ้าน ช่วยให้อยู่แล้วไม่ร้อน – บ้านดี (baan-d.com)
แสดงความคิดเห็น
ข้อดีของบ้านเดี่ยว
เพราะบ้านเป็นศูนย์รวมของครอบครัว ให้ความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย ของสมาชิกทุกคนในครอบครัวที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สำหรับผู้อ่านที่มีงบประมาณมากพอที่จะมองหาบ้านขนาดกลางถึงใหญ่อย่างบ้านเดี่ยวไว้อยู่อาศัยถาวร เรามาดูกันดีกว่าว่าข้อดีของการมีบ้านเดี่ยวมีอะไรกันบ้าง
มีความส่วนตัวสูง
ด้วยพื้นที่ที่มากมาย เราสามารถสร้างรั้วเพื่อกั้นอาณาเขตบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว ไม่ไปยุ่งกับข้างบ้าน และความเงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกพลุกพล่านจากถนนและเสียงการจราจร อากาศบริสุทธิ์ปราศจากควันพิษ
มีพื้นที่ไว้ทำกิจกรรม
เราจะมีพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้กลางแจ้ง หรือปิ้งย่างโดยที่ไม่ต้องเลอะเทอะภายในของบ้าน
มีพื้นที่ให้สำหรับเรียนรู้และออกกำลังกาย
มีพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงแสนรัก หรือแม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัวได้วิ่งเล่นได้ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเล่นแบตมินตัน หรือกระโดดเชือก เป็นต้น
มีพื้นที่สำหรับการจัดสวน
สามารถมีพื้นที่ไว้จัดสวนให้ความร่มรื่น ไว้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเองได้
บ้านไม่ติดใคร
ข้อดีที่บ้านไม่ติดกับใครเลยก็คือ เสียงรบกวนที่มาจากบ้านใกล้เรือนเคียง หรือ เสียงรบกวนที่ออกจากบ้านของเราเองไม่ไปรบกวนคนอื่น ตัดเรื่องการมีปัญหากับเพื่อนบ้านไปได้เลย
มีพื้นที่จอดรถได้หลายคัน
บ้านเดี่ยวตอบโจทย์เรื่องพื้นที่จอดรถได้หลายคัน ไม่ต้องเสี่ยงจอดหน้าบ้านให้โดนเฉี่ยวชน หรือโดนขโมยอีกต่อไป
ที่มา : ข้อดีของบ้านเดี่ยว – บ้านดี (baan-d.com)
แสดงความคิดเห็น
กั้นผนังห้องด้วยอิฐมอญ ทำได้หรือไม่
กั้นผนังห้องด้วยอิฐมอญ ทำได้หรือไม่
ถ้าจุดดังกล่าวมีคานมารับแล้ว สามารถก่อผนังอิฐมอญได้หรือไม่
ในงานโครงสร้างอาจมีบางจุดที่วิศวกรได้ออกแบบคานไว้โดยที่ชั้นบนคานอาจไม่มีผนัง ส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับวิธีออกการออกแบบโครงสร้างของวิศวกร จุดสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาคือน้ำหนักรวมที่ฐานรากจะรับไหว จำเป็นต้องให้ผู้ออกแบบโครงสร้างรีเช็คก่อนว่า น้ำหนักที่ต่อเติมเพิ่มมาจะส่งผลให้การรับน้ำหนักรวมของอาคารเกินพิกัดที่จะรองรับได้หรือไม่ เพราะในขั้นตอนออกแบบส่วนใหญ่วิศวกรจะคำนวณน้ำหนักตามแบบก่อสร้าง เพื่อให้ขนาดฐานราก เสา คาน เหมาะสมพอดีกับอาคาร หากเผื่อมากเกินไปย่อมมีผลกับต้นทุนงานก่อสร้างที่บานปลาย การเพิ่มน้ำหนักปริมาณมากภายหลัง จึงต้องตรวจเช็คให้ดีก่อนเสมอ
ควรกั้นผนังห้องด้วยวัสดุชนิดใดดี
บ้านบางหลังสร้างมานานมากแล้ว แบบบ้านไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน จะติดต่อวิศวกรก็ย่อมยาก แนะนำเลือกผนังเบาแทนได้เลย เช่น ไม้อัด, ยิปซั่ม,สมาร์ทบอร์ด, วีวาบอร์ด,เมทัลชีท พาเนล วัสดุเหล่านี้น้ำหนักรวมโครงคร่าวเพียง 20-40 กิโลกรัม/ตารางเมตร หากอิงผนังตามเนื้อหาข้างต้นพื้นที่ 12 ตารางเมตร น้ำหนักรวมของผนังประมาณ 240-480 กิโลกรัม ต่างกับอิฐมอญหลายเท่าตัวเลยครับ ส่วนอิฐมวลเบา ชื่อดูเบาก็ไม่ได้เบาอย่างที่คิด น้ำหนักเฉลี่ย 90-100 กิโลกรัม/ตารางเมตร หรือ 2 เท่าของผนังเบา
การต่อเติม รีโนเวทบ้าน อาจมาพร้อมกับภัยอันตรายที่คาดไม่ถึงได้ หากจะต่อเติมหรือกระทำการใด ๆ สามารถปรึกษาเบื้องต้นผ่านกลุ่มสาธารณะต่าง ๆ เพื่อหาข้อมูลไว้เป็นแนวทางเบื้องต้นได้ แต่ไม่ควรเชื่อคำแนะนำใด ๆ ก่อนตัดสินใจทำ เพราะผู้แนะนำเป็นใครก็ได้ที่อาจไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การมีสถาปนิก วิศวกรมาหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ช่วยให้คำแนะนำก่อน ย่อมปลอดภัยและอุ่นใจกว่า
ที่มา : อย่าหาทำ ! กั้นผนังห้องด้วยอิฐมอญ เสี่ยงบ้านพังถล่ม - บ้านไอเดีย เว็บไซต์เพื่อบ้านคุณ (banidea.com)
แสดงความคิดเห็น
6 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ตอนเลือกวัสดุปูพื้นภายนอก
พื้นที่ภายนอกอาคารต้องเจอกับสภาพแวดล้อมรุนแรง
ทั้งแดด ความชื้น น้ำค้าง ฝน และลม
ตัวเลือกสำหรับการปูพื้นกลางแจ้งจึงมีความซับซ้อนมากกว่าเลือกกระเบื้องปูพื้นภายในอาคาร
ดังนั้นตอนเลือกวัสดุปูพื้นภายนอก อาจต้องมีเรื่องให้พิจารณามากกว่าเดิม
ประเด็นหลัก ๆ อย่างเช่น ความแข็งแกร่งของวัดสุปูพื้นมากน้อยแค่ไหน งบประมาณหรือค่าใช้จ่ายที่ตั้งเอาไว้
ลักษณะพื้นผิวของวัสดุ สามารถกันลื่นได้หรือไม่ รวมถึงความทนทานต่อสภาพอากาศ
แสงแดด ฝนตก และเศษฝุ่นต่าง ๆ
ความแข็งแกร่งของวัสดุปูพื้นภายนอก
กระเบื้องปูภายนอกอาคารต้องมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ
และสามารถทนต่ออุณหภูมิและสภาพอากาศได้หลากหลาย ซึ่งแตกต่างจากกระเบื้องที่ใช้สำหรับผนังและพื้นภายในอาคาร
และความแข็งแกร่งที่พวกเขาต้องการนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละครอบครับที่อยู่อาศัย
เช่น ลานบ้านสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ อาจต้องเลือกวัสดุปูพื้นที่กันลื่นได้
ครอบครัวมีเด็กเล็กที่ชอบวิ่งเล่นรอบ ๆ ตัวบ้าน หรือครอบครัวที่ชอบทำอาหาร
มีเตาปิ้งย่างข้างตัวบ้าน ควรเลือกวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย และพื้นไม่ลื่น
เมื่อโดนคราบน้ำมัน
งบประมาณ
ลานบ้านอาจเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง
และปูด้วยกระเบื้องที่หรูหราอาจมีราคามากกว่าการปูกระเบื้องพื้นที่ในร่มที่มีขนาดเล็กกว่า
เช่น ห้องน้ำ ด้วยเหตุนี้
ต้นทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการเลือกกระเบื้องปูพื้น
ช่วงราคาตั้งแต่หลักร้อยต่อตารางเมตร สำหรับวัสดุ เช่น
กระเบื้องพรมหรือกระเบื้องเซรามิกพื้นฐาน
ไปจนถึงหลักพันจนถึงหลักหมื่นต่อตารางเมตร เพื่อติดตั้งหินแกรนิต
หรือหินทราเวอร์ทีน
พื้นผิวและการต้านทานการลื่น
พื้นผิว และ
“ความลื่น”
ของกระเบื้องมีความสำคัญในการใช้งานกลางแจ้งมากกว่ากระเบื้องบุผนังภายในอาคาร หรือแม้แต่กระเบื้องปูพื้นในอาคาร
ความชื้นมักมีอยู่มากในลานกลางแจ้ง และพื้นผิวกระเบื้องต้องมี
“การยึดเกาะดีเยี่ยม” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อยู่อาศัยเดินผ่านแล้วเกิดการลื่นไถล
พื้นผิวกันลื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระเบื้องภายนอกอาคารที่จะขาดไปไม่ได้
สภาพอากาศ
หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรง
เจอฝนและความชื้นอยู่เป็นประจำ
คุณจะต้องเลือกกระเบื้องปูพื้นภายนอกอาคารที่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่รุนแรงได้
ตัวอย่างเช่น กระเบื้องพอร์ซเลนมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำมาก จึงทนต่อความชื้นได้ดี
แต่ในขณะที่ถ้าเป็นกระเบื้องดินเผาที่มีเนื้อกระเบื้องพรุน ดูดซึมน้ำง่าย
ทำให้พื้นที่ปูด้วยกระเบื้องดินเผามักเจอกับคราบตะไคร่เกาะอยู่บ่อย ๆ
หรือบางพื้นที่มีพายุ ลมแรงจนพัดเศษกิ่งไม้ขนาดใหญ่มาตกลงบนพื้น
ถ้าใช้วัสดุผิดประเภทก็อาจทำให้พื้นบริเวณนั้นเป็นรอย หรือาจทำให้กระเบื้องแตก
จนพังเสียหายได้
ความทนทานต่อแสงแดด
ปริมาณแสงแดดที่ส่องลงพื้นนอกบ้านเป็นประจำนั้น
มีผลโดยตรงกับกระเบื้อง โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อุณหภูมิสูงสุด 40 องศาเซลเซียส
ตอนที่เราออกไปเจอแดด แม้เป็นเวลาไม่กี่นาทีก็รู้สึกแสบร้อนตามผิวแล้ว
หากลองคิดดูว่ากระเบื้องที่ต้องติดตั้งกลางแจ้งตลอดทั้งวัน เจอกับแดดตอนบ่ายนาน ๆ
เกิดความร้อนสะสมในกระเบื้อง ทำให้กระเบื้อเกิดการขยายตัวจนแตกร้าว
และแสงแดดคือตัวการณ์สำคัญของปัญหากระเบื้องสีซีด ลายกระเบื้องจางจนเลือนหายไป
ทำให้ภูมิทัศน์ภายนอกตัวบ้านเก่าโทรม จนหมดความสวยงามในที่สุด
ดีไซน์เข้ากับตัวบ้าน
พื้นกลางแจ้ง ลานบ้าน
ต้องผสมผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศโดยรวมของพื้นที่นั้น
มีดีไซน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสถาปัตยกรรมและวัสดุอื่นของตัวบ้าน
ควรเลือกวัสดุที่มีสีและพื้นผิวที่สอดคล้องกับภาพรวมของสไตล์บ้านของคุณ
เพื่อให้ตัวบ้านเกิดความสวยงาม ดูแล้วไม่ขัดตา
ที่มา : https://casarocca.co.th/6-topic-for-choose-outdoor-floors/
แสดงความคิดเห็น
หรืออาจเป็นเพราะพื้นดวงหรือเปล่า
เจอครั้งแรก และครั้งเดียว เค้าอาจจะหายไปเลย T_T
เครดิตจาก เพจ Waste Space Architecture
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ปัญหากลิ่นย้อน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เข้าห้องน้ำแล้วได้กลิ่น เหม็นเหมือนส้วมแตก ทั้งๆที่ก่อนหน้า ก็ไม่ได้มีใครใช้งาน
บางทีปิดบ้านไปเที่ยว 3-4 วัน กลับมาเข้าห้องน้ำ กลิ่นเหมือนรถสูบส้วมคว่ำ
ไอ้กลิ่นที่ว่านี่แหละ มันคือ กลิ่นย้อน แล้วมันย้อนมาจากไหน ?
กลิ่นย้อน มันจะย้อนมาจาก ถังบำบัดเป็นหลัก เพราะในถังนั้น จะเป็นที่เก็บกากของเสียที่เราขับถ่ายไว้
รอให้จุลินทรีย์ไปย่อย ซึ่ง มันก็เป็นปกติ ที่จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ทีนี้ กลิ่นมันก็มากับอากาศ และ อากาศ มันก็ไปได้ทุกที่ เมื่อเราต้องต่อท่อเอาอุนจิไปทิ้งที่ถังบำบัด
ท่อเดียวกันนี้ ก็จะเป็นทางที่อากาศ ซึ่งมีกลิ่นอุนจิ เดินย้อนกลับขึ้นมาเช่นกัน
หากเรากันอากาศจากท่อต่างๆเหล่านี้ได้ไม่ดีพอ หรือไม่ได้มีระบบในการคัดกรอง และ ป้องกันกลิ่น
ก็จะเกิดปัญหา "กลิ่นย้อน" ตามท้องเรื่องนี้แล ในตอนนี้เราจะช่างหัวเรื่องอื่นไปก่อน เน้นที่การแก้ปัญหาที่ปลายทาง
แรกสุดในการจะแก้ปัญหา คือ หาสาเหตุของมัน กลิ่นจากถังบำบัด มันขึ้นมาได้หลายทาง
ถ้าในห้องน้ำอย่างน้อยๆก็มี 3 จุด นั่นคือ
- ใต้ชักโครก
- ท่อระบายน้ำพื้น
- ท่อระบายน้ำอ่างล้างมือ
( ถ้ามีอ่างอาบน้ำ ก็อาจจะขึ้นมาจากท่ออ่างอาบด้วย )
การตรวจและซ่อมใต้ชักโครก เป็นงานยาก งานใหญ่ เพราะจะตรวจได้ ส่วนใหญ่ต้องรื้อชักโครกขึ้นมาดู
งานมันจะใหญ่ไป แน่นอนนะวิ
ดังนั้น ในขั้นแรก เราจึงใช้วิธีการตรวจหาง่ายๆก่อน นั่นคือ เราจะทำการอุดท่อระบายทุกท่อที่มีในห้องน้ำนั้นก่อน
เริ่มจากท่อน้ำที่พื้น จะมีกี่จุด อุดให้หมด ( ใช้ดินน้ำมันปั้นอุดก็ได้ )
ส่วนสะดืออ่างล้างหน้า และ อ่างอาบน้ำ เอาจุกสะดือปิดไว้ ถ้าอ่างมีรูน้ำล้น ก็เอาสก๊อตเทปแปะไว้ให้มิด
เมื่อเราอุดหมดแล้ว ก็แปลว่าจะมีแค่จุดเดียวเท่านั้น ที่อากาศอาจจะลอดผ่านขึ้นมาได้ นั่นคือ
จากใต้ชักโครกอุดเสร็จแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำไว้ ( ปิดหน้าต่างด้วยนะ )
แล้วรอไปสัก 3-6 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาอากาศเดิมทางมาครบเวลาแล้ว ทีนี้ก็เปิดห้องเพื่อพิสูจน์กลิ่นกัน
ด้วยการหายใจให้เต็มปอด ฟืดใหญ่ๆ ถ้าไม่มีกลิ่นย้อนแล้ว นั่นก็แปลว่า
ใต้ชักโครกไม่ได้มีปัญหา แต่คุณต้องไปจัดการกับท่อระบายน้ำพื้นและพวกท่อระบายน้ำของอ่างต่างๆ
การแก้ไข ก็ไม่ยากอะไร
ถ้าเป็นท่อระบายน้ำพื้น ก็ทำแบบที่แอดทำ คือ เปลี่ยนฝาท่อระบายให้เป็นรุ่นที่มีระบบกันกลิ่นดีๆ
( เลือกที่ระบายน้ำดีๆด้วย และ เลือกที่ขนาดเข้ากับของเก่าเราได้ )
ถ้าเป็นที่อ่างล้างหน้า อันนี้ก็ไปเปลี่ยนชุดท่อที่ใต้อ่าง ให้เป็นชนิดมีกระเปาะกันกลิ่น หรืออย่างน้อยก็เป็นแบบมี P trap
เพื่อให้เกิดมีจุดน้ำขังกันกลิ่นไว้
เมื่อแก้หมดแล้ว ทีนี้ก็จะได้เข้าห้องน้ำอย่างโล่งจมูก สบายใจสักที
เครดิตจาก เพจ ฉิบหายแล้วบ้านกู
สามารถอ่านต่อได้ที่นี่
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
บรีฟฟฟฟฟ...งานหน่อยนะ^^
งานนี้งบเยอะ คิดมาหลายๆ อันละกัน...แต่จริงๆ มีงบแค่แต็ด...555+ หยอกๆๆๆ ^^
แสดงความคิดเห็น
10 กลโกงของผู้รับเหมา รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้
ปัญหาระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อเติม และออกแบบ เป็นปัญหาที่เกิดมายาวนานและเป็นปัญหาหลักของใครหลาย ๆ คนว่า จะเลือกผู้รับเหมาอย่างไรให้ได้ผู้รับเหมาที่ดี และจะป้องกันอย่างไรไม่ให้ถูกผู้รับเหมาโกงได้ จึงได้รวบรวมกลโกงของผู้รับเหมาที่พบเจอได้บ่อย โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
1. ผู้รับเหมาทิ้งงาน
ปัญหาที่เจอกันเป็นประจำสำหรับผู้รับเหมาที่ทิ้งงานแล้วเชิดเงินหนี ทำงานช้า ไม่เสร็จตามแผนที่วางเอาไว้มาก
2. วัสดุก่อสร้างไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้
เป็นกรณีที่ผู้รับเหมาโกงวัสดุ โดยเอาวัสดุเกรดต่ำกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ มาใช้ในการก่อสร้างต่อเติมไม่ตรงตามแบบที่ผู้ว่าจ้างต้องการ
3. สัญญาคลุมเครือ
สัญญาจ้างที่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ร่างมาจะอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ หรือหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในชั้นศาลเมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น ดังนั้นการทำสัญญาต้องทำด้วยความรอบคอบ เพราะผู้ว่าจ้างอาจจะเสียเปรียบในกรณีที่ต่อสู้ในชั้นศาลได้
4. เบิกเงินก่อนล่วงหน้า
ปัญหาการเบิกเงินก่อนล่วงหน้าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นประจำ โดยผู้รับเหมาชอบอ้างว่าเงินไม่พอจะซื้ออุปกรณ์ ไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับจ่ายค่าคนงาน ทำให้นายจ้างใจอ่อนยอมให้ผู้รับเหมาเบิกเงินล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้รับเหมาได้เงินครบก็ทิ้งงานทันที
5. ผู้รับเหมาเปลี่ยนทีมช่างชุดเดิม
ในช่วงแรกผู้รับเหมาจะนำช่างที่มีประสบการณ์ทำงานเข้ามาทำงาน ทำให้ผู้ว่าจ้างเชื่อใจในฝีมือการทำงานว่าน่าจะทำออกมาได้ดี แต่หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเอาช่างมือใหม่เข้ามาทำ จากเดิมที่มีช่างฝีมือจริงอยู่ 5 คน หลัง ๆ อาจจะเหลือเพียง 2 คน ทำให้งานที่ออกมาค่อนข้างล่าช้าไม่เสร็จตามกำหนด และไม่ประณีตอย่าที่คิดเอาไว้
6. ผู้รับเหมาไม่เข้าหน้างาน
อีกปัญหาคือผู้รับเหมาไม่เข้าไปดูงานปล่อยให้ลูกน้องทำไปเรื่อย ๆ ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้งานที่ออกมาอาจจะมีความคลาดเคลื่อน และคนงานอาจโกงได้
7. ผู้รับเหมาขาดความรับผิดชอบ
นัดเจอผู้รับเหมาไม่เป็นนัด รับปากจะทำให้แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับไม่ได้ทำ ติดต่อยาก ปิดมือถือ และอาจจะถึงขั้นทิ้งงานในที่สุด
8. โกงเงินมัดจำ
ผู้รับเหมาบางรายจะเรียกเงินมัดจำก้อนแรกสูง ๆ เช่น 40% ของมูลค่างานทั้งหมด เมื่อได้เงินมัดจำไปแล้วก็ทิ้งงานทันทีหรืออาจจะทำงานช้า ไม่ค่อยเข้างานจนเราต้องเลิกจ้าง เป็นต้น
9. แก๊งหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
ปัจจุบันโลกออนไลน์เข้าถึงผู้คนมากขึ้น ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหลายรายใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อทางธุรกิจ และมีผู้ว่าจ้างหลายคนที่ใช้สื่อออนไลน์ในการประกาศหาผู้รับเหมา ทำให้ตกเป็นเหยื่อของผู้รับเหมาที่ต้องการจะหลอกลวง ดูภายนอกอาจจะทำให้ดูน่าเชื่อถือพูดจาหว่านล้อมสุดท้ายก็เชิดเงินหนี
10. ฮั้วประมูล
เป็นกรณีที่มักจะเกิดขึ้นกับวงการก่อสร้าง โดยผู้รับเหมามีความต้องการร่วมกันที่จะให้ราคารับเหมาไม่ต่ำจนเกินไปหรือไม่ ให้ถูกตัดราคาจากผู้รับเหมาที่ยื่นประมูลร่วมกัน ทำให้ผู้รับเหมาต่างฝ่ายต่างเข้ามาคุยเพื่อหาจุดที่ลงตัวที่สุดในการประมูลต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ แล้วค่อยแบ่งผลประโยชน์ตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ การฮั้วประมูลจะทำให้ราคาค่าก่อสร้างโดยรวมดูสูงกว่าปกติจากผู้ยื่นประมูล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ว่าจ้างทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงกว่าความเป็นจริง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://home.kapook.com/view123741.html
แสดงความคิดเห็น
รอยร้าวของผนัง สัญญาณอันตราย...หรือแค่เรื่องธรรมชาติ
1.รอยร้าวที่เกิดบนผนัง
รอยร้าวประเภทนี้ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายถึงขั้นบ้านถล่มดินทลาย
แต่มักจะมาในรูปแบบของความน่ารำคาญ คือจะทำให้ดูรกหูรกตา ไม่น่ามอง
แต่ในกรณีนี้ไม่สามารถทำให้บ้านพังได้ครับ เช่น
1.1
รอยร้าวแบบแตกลายงา มักจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำ คือ
ผนังก่ออิฐแห้งเกินไปทำให้เมื่อเราเริ่มงานฉาบปูน น้ำที่ผสมในปูนฉาบที่ได้สัดส่วนแล้ว
โดนผนังด้านในดูดเอาน้ำไปทำให้ปูนฉาบผิดสัดส่วนและแห้งเกินไป
เมื่อใช้อาคารไปซักพักจึงเกิดเป็นรอยดังกล่าว
หรืออาจจะโดนเร่งงานจากเจ้าของบ้านหรือรีบเก็บงวดงาน
ทำให้เมื่อก่อผนังอิฐเสร็จก็ฉาบเลยไม่รอให้ผนังอิฐเซ็ตตัวนั่นเอง
1.2
รอยแตกของผนังตามริมขอบวงกบ อันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความมักง่ายของช่างก่อสร้าง
ที่ไม่ยอมทำเสาเอ็น เสาเอ็นก็คือเสา คสล. ขนาดประมาณ 7 x 7 cm ที่ทำเป็นกรอบครอบวงกบประตูไว้นั่นเอง
เพื่อป้องกันปูนฉาบแตกจากการเปิดปิดประตู
ฉะนั้นในระหว่างการก่อสร้างเจ้าของบ้านก็ควรตรวจสอบให้รอบคอบก่อนจะที่ช่างจะฉาบปูน
1.3
รอยแตกแนวทแยงบนผนังกว้างประมาณ1-2 มม.
อันนี้เริ่มจะน่ากังวลขึ้นมา
รอยร้าวประเภทนี้มักจะเกิดหลังจากอาคารสร้างเสร็จไปแล้วซักพัก
หากเราเจอให้ลองเอาดินสอขีดตรงปลายรอยแตกแล้วสังเกตว่าร้าวต่อหรือไม่
ถ้าไม่ก็ถือว่าไม่อันตรายอาจจะแค่เกิดการบิดของผนังหรือเวลาสิบล้อขับผ่านหน้าบ้านบ่อยๆเกิดการสะเทือนมากเป็นต้น
แต่ถ้ารอยร้าวกว้างและยาวมากขึ้นอาจจะสันนิษฐานได้ว่า
โครงสร้างอาคารอาจจะกำลังทรุดตัว ควรปรึกษาวิศวกรเป็นการด่วน
2. รอยร้าวที่เกิดบนคาน
รอยร้าวบริเวณนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือเยอะ
ให้คิดไว้ก่อนว่านั่นคือเรื่องอันตราย ให้รีบหาสาเหตุและแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด
เพราะไม่ใช่เรื่องปกติแล้วครับ โดยเราอาจสังเกตได้ดังนี้
2.1 รอยร้าวแบบแตกลายงาแต่ไม่ปริออกมา
อันนี้น่าจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำเช่นเดียวกับข้อ 1.1
หรืออาจจะเป็นช่างฉาบปูนคนเดียวกัน ไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ
2.2
รอยร้าวเป็นเส้นตรงแนวตั้งตรงกลางคานและปริจนเห็นเนื้อปูนหรือเหล็กเสริมด้านใน
อาการนี้แสดงว่าคานรับน้ำหนักเกินกว่าที่วิศวกรกำหนดไว้
เรามักจะเจอกรณีแบบนี้ในอาคารประเภทโกดังที่มีการกองเก็บสินค้าเกินกำลัง
ให้ลองเอาของที่ตั้งอยู่บนเหนือคานออกแล้วสังเกตดูว่ารอยร้าวมันหยุดหรือไม่
ถ้าหยุดก็แสดงว่าเราเจอสาเหตุ ขั้นตอนต่อไปก็ให้กระจายการวางน้ำหนักให้สมดุลกันทั้งอาคาร
แต่ถ้ายังคงร้าวต่ออันนี้ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าอาคารของเราก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน
ก็รีบอพยพชั่วคราวกันก่อนครับ แล้วรีบติดต่อวิศวกรมาดูโดยเร็วที่สุด
เพราะอาจจะทำให้อาคารพังได้
3. รอยร้าวที่เกิดบนเสา
รอยร้าวที่เกิดกับเสาก็เป็นอีกตำแหน่งที่ถือว่าอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย
ถ้าไม่นับรอยแตกลายงา รอยร้าวของเสามักจะเกิดที่หัวเสา
อาจจะฉีกออกแค่เสาหรือทั้งคานและเสาก็ได้ อันนี้รีบย้ายออกจากบ้านก่อนเลยครับ
แล้วติดต่อวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพราะเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน
เกิดแรงเฉือนอย่างรุนแรงที่ตำแหน่งหัวเสาเชื่อมกับคานและจะทำให้อาคารทรุดลงมาได้
การแก้ไขมีตั้งแต่เสริมเหล็กรับแรงให้กับเสา ไปจนถึงทุบอาคารทิ้งกันเลย
ฉะนั้นถ้าเจอรอยร้าวแบบนี้อย่านิ่งนอนใจอย่างเด็ดขาด
4. รอยร้าวที่เกิดบนพื้น
รอยร้าวบนพื้นมักจะมีให้เห็นบริเวณพื้นชั้นล่าง
และเป็นพื้นที่วางบนดินหรือที่เรียกว่าพื้นหล่อในที่
โดยสาเหตุเกิดจากการทรุดตัวของดินถมบดอัดที่อยู่ใต้พื้น
พอดินที่รับน้ำหนักพื้นทรุดลงก็จะทำให้พื้นทรุดตาม
ทำให้เห็นรอยร้าวตามขอบพื้นที่ติดกับคาน การแก้ไข หากกำลังเริ่มทำแบบบ้านให้พยายามทำพื้นแบบวางบนคานไม่ว่าจะเป็นพื้นหล่อหรือพื้นสำเร็จรูปก็ตาม
ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดกับบ้านเราอย่างแน่นอน
ส่วนคนที่อยู่แบบบ้านเดิมมานานและพื้นทรุดตัวแล้ว อันนี้แก้ยากครับ
ง่ายสุดคือทุบพื้นเดิมทิ้งแล้วหล่อใหม่ดีกว่า
ที่มา : รอยร้าวของผนัง
สัญญาณอันตราย...หรือแค่เรื่องธรรมชาติ (forfur.com)
แสดงความคิดเห็น
ไอเดียแต่งบ้านทรงไทยด้วยของตกแต่งบ้านสไตล์ไทยย้อนยุค
ของตกแต่งบ้านสไตล์ไทย (ภายในบ้าน)
เน้นเป็นของสไตล์วินเทจที่มีกลิ่นอายไทยๆ
บอกเล่าวิถีชีวิตคนสมัยก่อนได้อย่างดี
1. ตะเกียง หรือโคมไฟโบราณ : ตะเกียงนับเป็นเครื่องใช้สำคัญของคนโบราณและคนยุคก่อนๆ เป็นของตกแต่งบ้าน สไตล์ไทยเมื่อราว 60 ปีที่แล้ว ที่ไฟฟ้ายังไม่ได้เข้าถึงในทุกพื้นที่
ที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ ก็เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ
นอกจากนี้ยังมีตะเกียงโบราณแบบโป๊ะ ในส่วนของโคมไฟทรงเก่าๆ สไตล์วินเทจก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับบ้านทรงไทยเช่นกัน
โคมไฟโบราณแบบผ้า ช่วยให้บ้านดูอบอุ่น หวานละมุน โคมไฟติดผนังวินเทจที่ทำจากเหล็ก
ถือเป็นไอเดียแต่งบ้าน ทรงไทยได้เป็นอย่างดี ที่ช่วยให้บ้านดูคลาสสิกอยู่ไม่น้อย
2. ผ้าม่านโปร่ง : ผ้าม่านโปร่งจะช่วยกรองแสงจากภายนอก ลดแสงจ้า
ทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูนุ่มนวล สบายตา ข้อดีคือชมวิวภายนอกห้องได้ แบบที่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัยภายในห้องได้เช่นกัน
โดยลวดลายที่เหมาะกับบ้านทรงไทย ก็คือลายลูกไม้ ลายฉลุ หรือลายปักสไตล์ไทยๆ
3. ส่วนนั่งพักผ่อนเป็นไม้ยกสูง : ให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิตแบบไทยโบราณ
ก็ต้องมีพื้นที่สักมุมในบ้านที่ยกสูงขึ้น วางฟูกและหมอนสามเหลี่ยมผ้าขิดโบราณไว้สักหน่อย
เท่านี้ก็มีมุมพักผ่อนย้อนวันวาน
4. เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ : สำหรับผู้ที่ชอบศิลปะดนตรี คนไทยสมัยก่อนก็อินกับการสร้างความรื่นรมย์
ฟังเพลงเพราะๆ ไม่ต่างจากคนสมัยนี้ เพียงแต่อุปกรณ์ของคนสมัยก่อนนั้น
คือเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณอันโตสุดคลาสสิก ที่หากมีไว้ประดับในบ้าน
รับรองว่าเพิ่มกลิ่นอายวินเทจแบบไทยๆ รำลึกอดีตได้เป็นอย่างดี
ทีมา : ไอเดียแต่งบ้านทรงไทยด้วยของตกแต่งบ้านสไตล์ไทยย้อนยุค
(forfur.com)
แสดงความคิดเห็น
ปูกระเบื้องแบบซาลาเปาได้หรือไม่ ?
การปูกระเบื้องแบบซาลาเปา คือ การเอากาวซีเมนต์มาปาดหลังแผ่นกระเบื้องคล้ายก้อนซาลาเปา จากนั้นวางกดลงไปบนพื้นหรือผนัง วิธีนี้จะทำให้ตัวกาวซีเมนต์ติดไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งแผ่น เกิดช่องว่างที่ขอบกระเบื้อง เป็นที่สะสมของน้ำและความชื้น ส่งผลให้เกิดความ เสียหายหรือเป็นเหตุให้กระเบื้องระเบิดได้ (แผ่นกระเบื้องหลุดออกมาทั้งแผ่น) นอกจากนี้ตามใต้ขอบและมุมกระเบื้องที่ไม่มีกาวซีเมนต์รองรับ อาจมีโอกาสเกิดการแตกร้าวได้หากมีน้าหนักมากดทับ ทางที่ดีควรปูกระเบื้องโดยใช้เกรียงหวีปาดกาวซีเมนต์ให้ทั่วแผ่น ตามวิธีมาตรฐานจะดีกว่า
นำเสนอ By Modx คนเดิม
ต้นฉบับ By SCG
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (1)
เรทราคาประเมินราคาต่อเติมบ้านหรือก่อสร้างใหม่
แสดงความคิดเห็น
แบบบ้านแจกฟรี มากกว่า 40 แบบ !!!
วันนี้ Modx คนเดิมหาของมาแจกฟรี
นั่นคือแบบบ้านพร้อมรายละเอียดก่อสร้าง ฟรีและดีมาก มากกว่า 40 แบบ
สนใจไปดาวน์โหลดแบบ ฟรีๆ คลิกที่นี่ ถูกใจกด Like กดแชร์ให้ด้วยครับ
ครบ 5 Like ใน Web www.Trongjai.com Modx จะหาของดีๆมาแจกอีกสัญญาเลย
แสดงความคิดเห็น (1)
6 อันดับอาชีพที่เข้าชมงานสถาปนิกมากที่สุดกันว่ามีอาชีพอะไรบ้าง!
จริงปะเนี่ย!...อาชีพที่เข้าชมงานสถาปนิกมากที่สุดคือ
.
1. สถาปนิก 16%
2. ครีเอทีฟและดีไซเนอร์ 10%
3. วิศวกร 8%
4. ผู้รับเหมาก่อสร้าง 8%
5. ตัวแทนจำหน่าย 6%
6. นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุน 6%
แสดงความคิดเห็น
อลังการตามท้องเรื่อง...บ้านน๊อคดาวน์
แปะไว้ก่อนนะเดี่ยวไว้จะมาส่องต่อ ... https://bb-homebanknockdown.com/
แสดงความคิดเห็น
ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566 ตามปฏิทินจันทรคติ เสริมสิริมงคลสร้างบ้านใหม่
พิธีลงเสาเอกบ้านคืออะไร
ก่อนจะหาฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566
มาดูความหมายและความสำคัญของพิธีลงเสาเอกบ้านก่อนว่าคืออะไร
ทำไมสร้างบ้านใหม่ถึงต้องให้ความสำคัญ
หากตัดเรื่องความเชื่อออกไป
เสาเอกบ้านนั้นก็นับเป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญของอาคารมากทีเดียว
เนื่องจากเสาเอกบ้าน คือเสาที่ทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักของอาคาร
เพื่อให้โครงสร้างบ้านมีความแข็งแรง โดยแต่เดิมในอดีต
วัสดุที่ใช้สร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นไม้ เสาเอกบ้านจึงต้องเป็นเสาไม้ด้วยเช่นกัน
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เสาเอกบ้านจึงมีการเปลี่ยนมาเป็นคอนกรีต
ตามวัสดุที่ใช้สร้างบ้านในปัจจุบัน
นอกจากนั้นในด้านความเชื่อแล้ว
พิธีลงเสาเอกบ้านยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง เนื่องจากเสาเอกบ้าน
เป็นการแทนสัญลักษณ์ของผู้ชายที่ความเป็นผู้นำ มีความแข็งแรง
เปรียบเสมือนพ่อซึ่งเป็นช้างเท้าหน้าของบ้าน
เพื่อปกป้องและดูแลครอบครัวและคนในบ้านให้อยู่ดีเป็นสุขนั่นเอง
พิธีลงเสาเอกต้องเริ่มจากอะไร
1. วันและเวลามงคลตามโฉลกของเจ้าของบ้าน
ตามความเชื่อแล้ว พิธีลงเสาเอกบ้านคือการเริ่มต้นสร้างบ้านเพื่อความเป็นมงคล
ดังนั้นพิธีลงเสาเอกบ้านที่ถูกต้อง จึงยึดถือตามเวลาและวันมงคลเป็นหลัก
ซึ่งวันและเวลามงคลจะขึ้นอยู่กับโฉลกของเจ้าของบ้านเป็นหลัก
โดยจะเป็นการอ้างอิงตามปฏิทินจันทรคติ หรือการนับเดือนแบบไทย เช่น เดือนอ้าย, เดือนยี่, เดือน 4, เดือน 5, เดือน 9 หรือเดือน 12
โดยทั่วไปแล้วฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566
จะยึดจากวันเดือนปีเกิดของเจ้าของบ้าน ในการกำหนดวัน เวลา
และตำแหน่งของเสาเอกที่เหมาะสมของบ้าน ซึ่งหากใครไม่มีความรู้ในด้านนี้
ก็สามารถสอบถามโหรฯ หรือพระอาจารย์ ที่มีความรู้ในด้านนี้ก็ได้
2. ฤกษ์ที่เหมาะสมของพิธีลงเสาเอกบ้าน
สำหรับฤกษ์งามเวลาที่เหมาะสม ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566
จะเชื่อตามเลขมงคล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยึดเลข 9 ซึ่งมีความหมายตามความเชื่อว่า
‘ความก้าวหน้า’ ฤกษ์เวลาที่นิยมในการทำพิธีลงเสาเอกจึงมักจะเป็นเวลา 9.00 น.
นั่นเอง
เนื่องจากในปัจจุบัน พิธีลงเสาเอกบ้านได้มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย
โดยเริ่มเปลี่ยนจากการใช้เสาไม้เป็นการใช้เสาเอกเป็นเสาคอนกรีต
ดังนั้นฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566 ที่เหมาะสม จึงแล้วแต่ความเชื่อของคน
ว่าจะเริ่มนับการเริ่มต้นของพิธีลงเสาเอกบ้านจากเวลาที่ตอกเสาเข็มต้นแรก
หรือจะยึดตามเวลาที่เทคอนกรีตลงบนฐานรากก็ได้
ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่
3. ของมงคลสำหรับพิธีลงเสาเอกบ้าน
โดยทั่วไปแล้ว ของมงคลสำหรับใช้ในพิธีลงเสาเอกจะประกอบด้วย
โต๊ะหมู่บูชาที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย เครื่องสักการะ
ชุดจตุปัจจัยไทยสำหรับถวายพระ สายสิญจน์ ผ้าสามสี ผ้าหัวเสา ผ้าห่มเสา
ผ้าแพรสีเหลืองหรือผ้าขาวม้า
เครื่องสำหรับบูชาฤกษ์หรือเครื่องสังเวยเทวดา แผ่นนาก แผ่นเงิน แผ่นทอง ทองคำเปลว
ข้าวตอกดอกไม้ เหรียญเงินและทองอย่างละ 9 เหรียญ น้ำมนต์ 1 ขันและหญ้าคา 1 กำ
หน่ออ้อยและกล้วย ทรายเสก แป้งตอกตามเหมาะสม ไม้มงคล 9 อย่าง และใบไม้มงคล
ซึ่งของมงคลทั้งหมดนี้ สามารถสอบถามจากโหรฯ หรือพระอาจารย์
ที่นิมนต์เชิญเพื่อมาทำพิธีลงเสาเอก ตามฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566 ได้
4. ไม้มงคล 9 อย่างสำหรับพิธีลงเสาเอกบ้านมีอะไรบ้าง
ไม้มงคล 9 อย่างสำหรับพิธีลงเสาเอก เป็นอีกความเชื่อว่า ต้นไม้ความหมายดี
ๆ จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลของการอยู่อาศัยและการเริ่มต้นใหม่
5. ใบไม้มงคลสำหรับพิธีลงเสาเอก
ใบไม้มงคลที่มักจะนำมาใช้ประกอบพิธีลงเสาเอก
ก็จะใช้ใบไม้ที่มีความหมายดี ๆ เช่นเดียวกับไม้มงคล 9 อย่างเช่นเดียวกัน
โดยใบไม้ที่นิยมมาใช้ ได้แก่
– ใบทอง ใบเงิน ใบนาก ช่วยเสริมทรัพย์สินเงินทอง
– ใบทับทิม ช่วยขจัดความทุกข์ต่าง ๆ
– ใบพลู ช่วยเสริมยศถาบรรดาศักดิ์
– ใบมะรุม ช่วยเสริมเสน่ห์และความนิยม
– ใบมะขาม ช่วยเสริมความน่าเกรงขาม
– ใบยอ ช่วยให้มีคนสรรเสริญ
– ใบมะยม ช่วยเสริมความนิยมรักใคร่
– ใบโกศล ช่วยเสริมบุญกุศลและบารมี
– ใบวาสนา ช่วยเสริมวาสนา
– ใบโมก ช่วยให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
– ใบชวนชม ช่วยเสริมคสามมั่งคั่ง ร่ำรวย
พิธีลงเสาเอกบ้านมีขั้นตอนอย่างไร
1. นำหน่อกล้วย หน่ออ้อย และผ้าสามสี ผูกติดกับเสาเหล็กที่จะใช้ในการเป็นเสาเอกบ้าน
โดยควรจัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนถึงวันพิธี
2. หากไม่ได้เชิญพราหมณ์หรือพระอาจารย์มาช่วยทำพิธี
สามารถเชิญผู้หลักผู้ใหญ่หรือเจ้าของบ้านเป็นผู้ทำพิธีได้
โดยเริ่มวางสายสิญจน์ตั้งแต่บริเวณโต๊ะหมู่บูชา ยาวไปจนถึงบริเวณเสาเอก
3. เจ้าภาพของพิธีลงเสาเอกจุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชา
อธิษฐานถึงความเป็นสิริมงคล และกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชาและโต๊ะเครื่องสังเวยเทวดา
ให้ช่วยคุ้มครอง
4. ตอกไม้มงคล 9 ชนิดไปในหลุมเสาเอก
5. วางแผ่นนาก แผ่นเงิน แผ่นทอง และเหรียญเงินลงไปในหลุม
6. นิมนต์พระสงฆ์มาพรมน้ำมนต์ และโปรยทรายเสกลงที่หลุมเสาเอก
เจิมและปิดแผ่นทองที่เสาเอก
7. เจ้าภาพและผู้ร่วมพิธี
ร่วมกันถือสายสิญจน์และยกเสาเอกให้เรียบร้อย
8. เจ้าภาพโปรยข้าวตอกดอกไม้ และแป้งหอม ลงที่หลุมเสาเอก
เป็นอันจบพิธี
ที่มา : ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2566
ตามปฏิทินจันทรคติ เสริมสิริมงคลสร้างบ้านใหม่ (ddproperty.com)
แสดงความคิดเห็น
รู้ก่อนสร้าง! 7 ลักษณะ ที่ดินต้องห้าม ที่ไม่ควรใช้ก่อสร้างบ้าน โดยเด็ดขาด!
1. ที่ดินตาบอด วุ่นวายไร้ทางออก
ที่ดินที่ถูกปิดล้อมด้วยที่ดินของผู้อื่นในทุกทิศทาง และต้องใช้เส้นทางเข้า-ออกโดยผ่านที่ดินของผู้อื่นนั้น เรียกว่า ที่ดินตาบอด เป็นทำเลที่ไม่ควรนำมาใช้ในการสร้างบ้านอย่างยิ่ง ไม่ว่าราคาที่ดินจะถูกแค่ไหนก็ตามเพราะคุณจะต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องทางเข้า-ออกสู่ถนนสาธารณะอย่างแน่นอน แม้เบื้องต้นสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยการเจรจากับเจ้าของที่ดินข้างเคียง เพื่อขอเปิดเส้นทางทางเข้า-ออก แต่หากไม่สำเร็จอาจจำเป็นที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง ซึ่งต้องเสียทั้งเวลาและเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าดำเนินการ ค่าทนาย ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับการฟ้องร้อง และอาจต้องเสียค่าทดแทนสำหรับการสร้างทางผ่านให้กับเจ้าของที่ดินข้างเคียงอีกด้วย สำหรับราคาค่าทดแทนและรูปแบบการจ่ายเงินนั้น ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกันของเจ้าหน้าที่และเจ้าของที่ดินทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งอาจจ่ายเป็นค่าเช่ารายเดือน รายปี หรือ เงินก้อนก็ได้
2. ที่ดินรูปทรงต้องห้าม เจอเคราะห์ร้าย ใช้สอยไม่คุ้ม
ที่ดินมงคลที่ถูกหลักฮวงจุ้ย ในอดีตมีความเชื่อกันว่าต้องมีลักษณะหน้าแคบ หลังกว้าง เหมือนถุงทอง แต่ในปัจจุบันที่ดินที่ดีต้องมีรูปทรงสี่เหลี่ยม เช่น รูปทรงจัตุรัสหรือผืนผ้า ซึ่งที่ดินรูปทรงนี้จะง่ายต่อการวางผังบ้าน แต่หากเป็นที่ดินที่มีเหลี่ยมมุมลักษณะอื่น ๆ เช่น ที่ดินรูปสามเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หรือ วงกลม นับว่าเป็นที่ดินต้องห้าม เพราะพื้นที่บางส่วนที่เป็นเหลี่ยมมุมนั้นไม่สามารถใช้งานได้เต็มพื้นที่ วางโครงสร้างบ้านค่อนข้างยาก ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้งตามหลักฮวงจุ้ยยังมีความหมายในแง่ลบอีกด้วย เช่น การสร้างบ้านบนที่ดินรูปสามเหลี่ยมจะทำให้ไม่มีโชคลาภ เกิดปัญหาครอบครัว เจ็บป่วยง่าย หรือ หากเลือกที่ดินรูปค้อน และ มีดอีโต้ ในการสร้างบ้าน จะทำให้สุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยถึงชีวิต เป็นต้น
3. ที่ดินใกล้แม่น้ำ ต้องระวังบ้านทรุด น้ำท่วม
การสร้างบ้านบนที่ดินริมแม่น้ำ แม้จะเป็นทำเลที่ดูดีและมีข้อได้เปรียบเยอะ ทั้งวิวทิวทัศน์ การคมนาคมทางเรือที่เพิ่มเติมเข้ามา โอกาสในการทำอาชีพริมแม่น้ำ แหล่งน้ำสำหรับการทำเกษตร หรือการซื้อเพื่อเก็งกำไร แต่สิ่งที่ต้องระวังหากต้องการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินประเภทนี้ คือ ปัญหาน้ำกัดเซาะ ที่จะส่งผลทำให้บ้านค่อย ๆ ทรุดลง รวมถึงปัญหาน้ำท่วมบ้านเมื่อเกิดฝนตกหนักจนน้ำเอ่อล้นตลิ่ง เป็นต้น
4. ที่ดินมีอดีต แหล่งรวมพลังงานลบ
ที่ดินที่เคยมีประวัติว่าเป็นสุสาน โรงฆ่าสัตว์ โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม วัด หรือ ศาสนสถานอื่น ๆ ในทางฮวงจุ้ยเชื่อว่าเป็นที่ดินต้องห้าม ที่รวมแหล่งพลังงานลบต่าง ๆ เอาไว้ ไม่เป็นมงคลกับการอยู่อาศัย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ที่ดินเหล่านี้อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ซากสัตว์ ศพต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้
5. ที่ดินทรุดง่าย
ที่ดินบางแห่งแม้ไม่ติดแม่น้ำก็อาจเกิดปัญหาดินทรุดได้ โดยเฉพาะที่ดินในเขตพื้นที่กทม.และเขตพื้นที่ปริมณฑล ซึ่งโดยส่วนมากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการสำรวจพบว่าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวมักทรุดตัวลงทุก ๆ ปีประมาณ 1 เซนติเมตร อย่างไรก็ตามในแต่ละพื้นที่ล้วนมีระยะเวลาและระดับการทรุดของที่ดินแตกต่างกัน เจ้าของบ้านจึงควรศึกษาข้อมูลของที่ดินในแต่ละพื้นที่อย่างถี่ถ้วน โดยควรหลีกเลี่ยงหน้าดิน ที่นุ่ม ไม่แน่น เพราะโอกาสในการเกิดดินทรุดค่อนข้างสูง หรือสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง โดยพิจารณาจากปริมาณดินที่ไหลไปกับน้ำฝนในช่วงเวลาที่ฝนตก อีกทั้งในทางหลักฮวงจุ้ยยังมีความเชื่อกันว่าการสร้างบ้านบนที่ดินลักษณะนี้ ผู้อยู่อาศัยจะไม่ประสบความสำเร็จและไม่มีความสุขอีกด้วย
6. ที่ดินทำเลต้องห้าม ไม่ปลอดภัยถึงชีวิต
ที่ดินทำเลต้องห้ามในที่นี้ คือ ที่ดินที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าที่ดินอื่น ๆ เช่น ทางสามแพร่ง ทางโค้ง ที่อาจเกิดเหตุการณ์รถที่สัญจรไปมาเกิดอุบัติเหตุจนพุ่งชนตัวบ้านได้ อย่างที่ถูกนำเสนอในข่าวอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นที่ดินเปิดรับพลังงานร้ายตามความเชื่อทางฮวงจุ้ยอีกด้วย
7. เอกสารกฎหมายที่ดินต่างๆ
เอกสารกฎหมายที่ดินต่าง ๆ ลักษณะที่ดินเพื่อการลงทุนควรมีเอกสารทางกฎหมายชัดเจน รายละเอียดประเภทสิทธิการถือครองต่าง ๆ ควรทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนว่าตอบสนองความต้องการลงทุนของเราหรือไม่ บางกรณีมีข้อจำกัดสิทธิ ถือครองได้แต่โอนต่อไม่ได้ หรือ เป็นที่ดินไม่มีโฉนด เช่น ที่ดินมือเปล่า ลักษณะเป็น ส.ป.ก. ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ เป็นที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ทำประโยชน์ จัดสรรให้แก่เกษตรกรได้เอาไปทำประโยชน์ประกอบอาชีพ จึงจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประเภทที่ดินที่ไม่สามารถออกโฉนดได้ เช่น ที่ดินมีหลักฐานสิทธิทำกิน (สทก.) ลักษณะเป็นหนังสืออนุญาตให้ผู้ที่ได้เข้าไปบุกรุกทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นผู้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินเท่านั้น จึงไม่สามารถนำมาขอออกโฉนดที่ดินได้ เป็นต้น
credit https://www.panyarithome.com/
คลิก ที่นี่ อ่านเพิ่มเติม
แสดงความคิดเห็น
7 ไอเดีย แบ่งพื้นที่ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ไว้ด้วยกัน
การออกแบบพื้นที่ภายในบ้านแบบเปิดโล่ง
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
นอกจากจะสามารถเข้ากับสิ่งรอบข้างได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยังเป็นการเปิดประตูสู่การออกแบบใหม่
ๆ ได้อย่างไร้จุดสิ้นสุด หากคุณกำลังคิดจะลงมือสร้างห้องนั่งเล่นแบบเปิดโล่ง
และต้องการที่จะเพิ่มพื้นที่แยกสำหรับรับประทานอาหาร
ลองดูไอเดียตัวอย่างด้านล่างนี้ ที่จะทำให้คุณสามารถแบ่งพื้นที่ได้อย่างสวยงาม
ให้เอกลักษณ์กับเพดาน
หนึ่งในวิธีอันเรียบง่ายในการออกแบบพื้นที่แยกในห้องนั่งเล่นก็คือการ
ตกแต่ง และให้เอกลักษณ์กับเพดาน
แบ่งแต่ละพื้นที่ให้อยู่ในเขตของตัวเองด้วยการเพิ่มช่องว่างระหว่างเพดาน
เช่นรูปทรงเลขาคณิต การตกแต่งสีให้เด่น หรือให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าแต่ละห้องจะเชื่อมต่อกันแต่การออกแบบรูปลักษณ์ของเพดานก็จะสร้างความงดงามที่แตกต่างให้แต่ละพื้นที่ได้อย่างดี
ใช้สีบ่งบอกพื้นที่
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้ามเมื่อต้องการไอเดียในการทำพื้นที่แบ่งห้อง
ก็คือ การเลือกใช้สี ตัวอย่างเช่น
หากคุณต้องการแยกห้องนั่งเล่นกับห้องรับประทานอาหารออกจากกัน
ให้เลือกสีที่ตัดกันสองสีอย่างชัดเจนในแต่ละห้อง เพื่อสร้างเอกลักษณ์
จากนั้นคุณสามารถเลือกสีอื่น ๆ เพื่อใช้ตกแต่งเพิ่มเติมได้
ไม่ว่าจะเป็นสีไม้โทนอุ่น หรือสีขาวแบบธรรมชาติ ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี
แผงไม้
แผงรางไม้ทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งห้องแบบดั้งเดิม
ที่มีความงดงามในตัวอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะเลือกแผงไม้อัดแข็งแบบเปิดสองด้าน
ที่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
หรือไม้แบบบางที่สามารถใช้เป็นที่วางของตกแต่งเพิ่มเติมได้
แต่หากพื้นที่ของคุณมีจำกัด คุณสามารถใช้แท่งไม้แบบเปิดที่วางจากพื้นไปถึงเพดานได้
เพื่อให้ห้องที่โดนแบ่งดูสว่างและร่มเย็น
ผ้าม่านแบบโปร่ง
ด้วยน้ำหนักที่เบาบาง
ผ้าม่านแบบโปร่งนั้นเข้ากับห้องนั่งเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แบ่งพื้นที่ห้องรับประทานอาหาร
และห้องนั่งเล่นออกจากกันได้อย่างง่ายดายด้วยผ้าม่านแบบโปร่ง
ทั้งยังสามารถปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว หรือพับขึ้นเพื่อให้เกิดความโล่งสบายระหว่างพื้นที่ได้ตามต้องการ
ไม่ว่าคุณจะเลือกผ้าม่านแบบทึบที่มีสีโปร่งแสง หรือลวดลายเตะตา
ก็ช่วยเพิ่มคุณลักษณะเฉพาะให้กับพื้นที่ของคุณได้ไม่ต่างกัน
จัดตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์
ในขณะที่ไอเดียในการแบ่งห้องอื่น ๆ
จะมุ่งเน้นไปที่พื้นและเพดาน แต่ยังมีวิธีที่รวดเร็วเพียงแค่จัดตำแหน่งฟอร์นิเจอร์
ก็สามารถสร้างความแตกต่าง และใช้ประโยชน์ได้ไม่ต่างกัน
เปลี่ยนตำแหน่งของฟอร์นิเจอร์เพื่อแบ่งพื้นที่แต่ละส่วนภายในบ้าน
จัดกลุ่มฟอร์นิเจอร์ห้องรับประทานอาหารให้อยู่อีกที่
และเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนั่งเล่นให้อยู่อีกที่หนึ่ง
นอกจากนั้นการใช้ตู้ลิ้นชักแบบยาว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแบ่งห้องแบบง่าย ๆ
ได้เช่นกัน
ฉากกั้นห้อง
สุดท้ายนี้
หากคุณเลือกที่จะใช้แผงกั้นห้องเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวในการแบ่งห้องแล้วละก็
มันถือเป็นตัวเลือกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมายาวนาน ไม่ว่าจะในห้องนอน
หรือทำพื้นที่เปลี่ยนชุดเพื่อประหยัดพื้นที่
ทั้งยังเพิ่มเสน่ห์แบบวินเทจให้กับห้องนั่งเล่นและห้องอื่น ๆ ของคุณอีกด้วย
เพื่อความไร้ที่ติ ควรใช้แผงกั้นแบบตั้งที่มีลวดลายหรูหราเป็นเอกลักษณ์
หากคุณได้นำไอเดียเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้กับการแบ่งพื้นที่ของภายในบ้าน คุณจะรู้สึกพึงพอใจไปกับห้องนั่งเล่นและพื้นที่รับประทานอาหาร ที่คุณจัดแบ่งด้วยตัวคุณเองอย่างนอน
ที่มา : 7 ไอเดีย แบ่งพื้นที่ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ไว้ด้วยกัน - Based on Build
แสดงความคิดเห็น (1)
หลังทำ-ก่อนทำ นี่ สวยคนละเรื่องเลย
ทาวน์เฮ้าส์ธรรมดาแปลงร่างเป็นบ้านตึกแถว ลอฟต์ๆ เด่นๆ เป็นสง่า ... คือที่สุดในซอยของหมู่บ้านแห่งนี้ ^^
แสดงความคิดเห็น
จะซื้อรถ EV คนมีบ้านต้องเตรียมอะไรบ้างนะ???...ของมันต้องมี!
ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มีอยู่หลายปัจจัย ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะเป็นเรื่องของระบบไฟฟ้าการชาร์จรถยนต์ในบ้านของเราเอง และพื้นที่ชาร์จ เพราะหากอาศัยชาร์จตามสถานีนอกบ้านเพียงอย่างเดียวในเวลานี้ อาจยังไม่สะดวกเท่าที่ควรเราเลยอยากแชร์มีวิธีการเตรียมบ้านอย่างคร่าว ๆ เพื่อรองรับการใช้รถ EV มาฝากกันคัฟฟฟฟ...
> พื้นที่ชาร์จ รถ EV - ต้องดูพื้นที่ว่าเพียงพอต่อการจอดรถหรือติดตั้งอุปกรณ์การชาร์จรถไฟฟ้าของเราไหม
> ควรชาร์จในที่ร่ม - เพื่อรักษาอายุการใช้งานรถยนต์ของคุณให้ยาวนาน แม้ระบบรถจะมีการป้องกันการชาร์จรถ EV กลางแจ้งเอาไว้แล้วก็ตาม
> ระยะห่างระหว่างเครื่องชาร์จกับรถ EV - อย่าลืมว่าสายชาร์จรถมีความยาวไม่เกินประมาณ 7 เมตร ซึ่งเวลาชาร์จไม่ควรให้สายตึงเกินไป ขณะเดียวกันระยะห่างระหว่างเครื่องชาร์จกับตู้ควบคุมไฟฟ้า ไม่ควรไกลมากเกินไป เพื่อความสะดวกในการเดินสายไฟและการเก็บรักษา
> ระบบไฟฟ้าของบ้าน - การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะมีมาตรฐานการติดตั้งจุดชาร์จอยู่ 3 แบบ คือ แบบเต้ารับสำหรับสายชาร์จแบบพกพา (EV Socket-Outlet)
> เครื่องชาร์จแบบติดผนัง (Wall Mounted Charger) - และสายเมนวงจรที่ 2 ซึ่งแต่ทั้ง 3 แบบจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป โดยต้องเตือนกันเอาไว้ก่อน คือ ห้ามชาร์จกับเต้ารับเดิมของบ้านเด็ดขาด! เนื่องจากระบบไฟฟ้าภายในบ้านแบบเดิม ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แต่สำหรับวิธีการพิจารณาเรื่องของระบบไฟฟ้าในบ้านเบื้องต้น มีดังนี้
> มิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับ รถ EV - มิเตอร์ไฟตามบ้านมีอยู่หลายขนาด ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ไฟของแต่ละบ้าน ซึ่งทุกมิเตอร์จะมีตัวเลขขนาดมิเตอร์ไฟฟ้ากำหนดไว้มีหน่วยเป็นแอมป์ และตัวเลขที่บอกถึง ความสามารถในการใช้งานไฟฟ้าสูงสุดต่อเนื่องไม่เกิน 3 ชั่วโมง ทั่วไปแล้วขนาดไฟของบ้านจะไม่เพียงพอต่อการชาร์จรถโดยขนาดมาตรฐานที่การไฟฟ้าแนะนำ คือ 30 (100)A
> อุปกรณ์ตัดไฟรั่ว *ต้องมี! - หรือที่เรียกว่า RCD (Residual Current Devices) เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด เพราะจะช่วยป้องกันอันตรายได้มาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งอุปกรณ์ตัดไฟรั่วไม่ใช่ทุกรุ่นจะมีโหมดป้องกันไฟรั่ว เพราะฉะนั้นสอบถามช่างให้ดีครับ
> สายดิน *จำเป็น! - การชาร์จต้องมีสายดินที่ต้ออย่างถูกต้อง มีค่าความต้านทานดินไม่เกินมาตรฐานของางการไฟฟ้านครหลวง
แม้การติดตั้งจุดชาร์จจะต้องอาศัย #ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถ EV ที่ #ตรงใจ เรา แนะนำให้ศึกษาเบื้องต้นกันก่อนครับ ทั้งตัวรถยนต์ สถานีชาร์จนอกบ้าน และจุดบ้านของเราเอง เพื่อความปลอดภัยจากการใช้งานในระยะยาว
แสดงความคิดเห็น
เทคนิคการจำแนกวัสดุงานก่อสร้างด้วยสายตา EP1 "แผ่นฝ้าเพดานในห้องน้ำ"
คุณเคยไหมกับปัญหาการถูกผู้รับเหมาคุยโวเรื่องการใช้วัสดุที่ดีกว่าเจ้าอื่น ทั้งๆที่จริงแล้วคุณก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีจริงไหม วันนี้เรามาสอนแทคติคการแยกวัสดุด้วยตากัน
EP1 "แผ่นฝ้าเพดานในห้องน้ำ"
ฝ้าเพดานในห้องน้ำจำเป็นต้องใช้ "แผ่นยิปซั่มแบบทนชื้น" หลายคนอุทานว่าอ้าวแล้วผมจะรู้ไหมครับว่าอันไหนทนอันไหนไม่ทน หรือต้องเอาไปแช่นำ้ดู วิธีแยกง่ายๆเลยคือ แผ่นยิปซั่มแบบทนชื้นนั้นตัวกระดาษที่หุ้มแผ่นยิปซั่มมันจะเป็น "สีเขียว" (ตามรูปหน้าปกโพสเลย) ทีนี้ถ้าฝ้านั้นถูกทาสีไปแล้วจะดูได้ยังไงว่ามันเขียวหรือไม่เขียว ง่ายๆเลยเราก็รอดูตอนช่างไฟมาเจาะฝ้าใส่โคมนั้นแหละ เศษฝ้าด้านหลังฝ้าที่ไม่โดนทาสีมันก็ต้องเขียวด้วย ถ้ามันไม่เขียวแบบที่ท่านคิดก็เตรียมสั่งรื้อได้เลย....
เขียนโดย Modx คนเดิม
แสดงความคิดเห็น (3)
เอกสารงานก่อสร้าง EP1 RFA,RFI,VO คือเอกสารอะไร
ในโครงการก่อสร้างมักเรียกชื่อเอกสารเป็นชื่อย่อ จนน้องๆที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือ บุคคลภายนอกไม่เข้าใจ
วันนี้จึงขออธิบายก่อสร้าง EP1 RFA,RFI,VO คือเอกสารอะไร
Request for Variation (VO) เอกสารเพื่อนำเสนอราคาหรือเวลาที่เปลี่ยนแปลงงาน (เพิ่ม หรือ ลด) จากเงื่อนไขตามสัญญาก่อสร้าง เช่นมีงานปูกระเบื้องเพิ่มขึ้นมาจากแบบเดิมตอนคิดราคาเป็นพื้นปูนปกติ กรณีนี้ทางผู้รับเหมาต้องจัดทำ VO เพื่อเสนอราคาอนุมัติก่อนการทำงาน
Request for Information (RFI) เอกสารเพื่อสอบถาม / แจ้งความต้องการในข้อมูลต่างๆ สำหรับการดำเนินการ ยกตัวอย่างเช่น ระดับคานโครงสร้างขัดแย้งกับแบบงานสถาปัตย์ กรณีนี้ทางโครงการต้องจัดทำเอกสาร RFI สอบถามถึงผู้ออกแบบว่าอนุญาตให้ลดระดับคานได้หรือไม่
Request for Approval (RFA) เอกสารเพื่อจัดส่งสำหรับขออนุมัติ หรือรับทราบในข้อเสนอต่างๆ โดยเอกสารฉบับนี้จะแบ่งประเภทเป็น 3 ประเภท
- RFA-Shop drawing เอกสารการขออนุมัติเกี่ยวกับแบบ และรายละเอียดแบบ
- RFA-Material เอกสารการขออนุมัติเกี่ยวกับวัสดุ พร้อมตัวอย่างวัสดุ หรือ แคตตาล็อก เอกสารเกี่ยวกับรายละเอียดวัสดุนั้นๆ
- RFA-General เอกสารการขออนุมัติในเรื่องทั่วไป เช่น Design, Application for Payment, Site Layout และเอกสารผลทดการทดสอบวัสดุทุกประเภท เป็นต้น
ในส่วนของ EP2 จะมีเอกสารอะไรนำมาแชร์กันโปรดติดตาม
เขียนโดย Modx คนเดิม
แสดงความคิดเห็น
อยู่ดี มีสุข! 6 ฮวงจุ้ยการตั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่
การตั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ตามหลักฮวงจุ้ย
1. ตั้งศาลออกมาให้ไกลจากตัวบ้าน เพื่อไม่ให้เงาของตัวบ้านทับศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ และไม่ให้เงาของศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ ไปทับตัวบ้านเช่นกัน เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะทำให้บ้านเหมือนถูกวิญญาณเบียดเบียน และส่งผลให้ชีวิตเจอแต่อุปสรรคและปัญหา ซึ่งหากบ้านเพื่อนๆ ท่านไหนที่ไม่มีพื้นที่ ก็สามารถบูชา กราบไหว้ ศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ของหมู่บ้านหรือคอนโดก็ได้เช่นกัน
2. อย่าหันหน้าศาลตรงกับประตูทางเข้าด้านในบ้านหรือตัวบ้าน เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้มีสิ่งไม่ดีเข้ามายังภายในบ้านได้
3. ศาลพระภูมิควรสูงกว่าระดับปากหรือคิ้วของเจ้าของบ้าน เนื่องจากจะส่งผลในเรื่องของเงินทอง ที่มีกินมีใช้ได้อย่างไม่ขาดมือ และในบริเวณที่ตั้งของศาล Infinity Design ผ้าม่าน แนะนำว่าควรทำพื้นให้สูงกว่าพื้นบ้านประมาณ 1 คืบ เพราะศาลคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งควรอยู่สูงกว่าระดับพื้นบ้านนั้นเอง
4. อย่าตั้งศาลหันไปทางทิศตะวันตกและทิศใต้ เพราะอาจทำให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีได้นั้นเอง โดยทิศที่ดีและเหมาะสม จะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือเป็นทิศที่ดีที่สุด รองมาจะเป็น ทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงใต้
5. ไม่ควรตั้งศาลใกล้บริเวณห้องน้ำ สำหรับในข้อนี้เพื่อนๆ น่าจะพอทราบเหตุผลกันเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่เป็นมงคล
6. ควรมีฤกษ์ในการตั้งศาล และตั้งโดยอาจารย์ผู้มีความรู้หรือพราหมณ์ สำหรับข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการเลือกวันที่ดีในการตั้งศาลนั้น จะช่วยเสริมสิริมงคลและสิ่งที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย
ที่มา : https://www.infinitydesign.in.th
คลิก ที่นี่ อ่านต่อ
แสดงความคิดเห็น (2)
การประเมินขนาดที่ดินประกอบด้วยอะไรบ้าง
แสดงความคิดเห็น (1)
บ้านสไตล์รถบ้าน
แสดงความคิดเห็น (2)
Solar Roof หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์...มัน Wow มาก (ตะโกน!)
อีกผลงานของ Tesla ที่ทำให้งการก่อสร้างต้องตะลึง wow ๆๆๆๆๆ... มันคือหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์จะมาในสี่รูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน: Tuscan Slate Smooth and Textured ซึ่งจะรวมเข้ากับแบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ในบ้าน Powerwall 2 ของเทสลา ซึ่งช่วยให้บ้านส่วนใหญ่สามารถผลิตพลังงานทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับวันปกติได้เป็นอย่างดี... ลองไปส่องต่อกันได้นะเปะไว้ให้แล้วครับ
https://www.youtube.com/watch?v=4sfwDyiPTdU
แสดงความคิดเห็น (3)
Pixel House
บ้าน Pixel ออกแบบโดยสถาปนิก Anderman Architects มีพื้นที่ใช้สอย 300 ตารางเมตร และสามารถเข้าพักอาศัยได้เมื่อต้นปี 2022 ที่ผ่านมา บ้านหลังนี้ได้คิดถึงแสงเงาของแดด และทิศทางของลม ในการออกแบบฟาสาด เพื่อให้บ้านมีลูกเล่นและฟังชั่นใช้งานได้กับธรรมชาติของแสงและเงาและการผ่านของลม ... อีกหนึ่งไอเดียที่เพิ่มความสวยงามของบ้านที่ไม่มีใครเหมือน
.
#บ้าน #trongjai #ตรงใจ
.
Architects: Anderman Architects
Area : 300 m²
Year : 2022
Photographs :Amit Geron
Manufacturers : Boffi, T-Metal, APEX, Parqueteam
Landscaping : Itamar Shachar-Brodesky, Itamar Landscaping LTD
Lighting : S.T. Or
.
ภาพสวยๆ จาก: Archdaily
แสดงความคิดเห็น (4)
เรื่องเล่าจากช่าง...เจ้าของบ้าน..กับแบบก่อสร้าง
" ลุงทอมครับ ผมเชื่อว่าเจ้าของบ้าน 8 ใน 10 คน พอดูแบบก่อสร้างแล้ว ส่วนใหญ่จะบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจ
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าแบบก่อสร้างมีหลายใบ มีสัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นตา"
"และผมก็เชื่ออีกว่าเจ้าของบ้าน 4 ใน 10 คน พอดูแบบได้แต่ก็เพียงผิวเผินพอเข้าใจอยู่แต่ไม่เคลียร์คัท"
ผมเห็นลุงทอมนั่งฟังเฉย ๆ แต่แลดูสนใจ ก็เลยสาธยายต่อ
"ผมเชื่อว่าเจ้าของบ้าน 3 ใน 10 คน ดูแบบก่อสร้างได้เข้าใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด.."
ผมหยุดพูดเมื่อลุงทอมแกยกมือห้าม
" ทิดฉุยเอาสถิติมาจากไหน ยิ่งตอนหลังสุดที่บอกว่า 3 ใน 10 คน ดูแบบได้เข้าใจมากขึ้นแต่ไม่เข้าใจทั้งหมด
อันนี้ผมขอค้าน ผมว่า 3 ใน 10 รายนี่แหละดูแบบเป็นเข้าใจได้ดีซะด้วย"
"เอาอะไรมาพูดกันลุง ไม่มีทางหรอกที่เจ้าของบ้านจะดูแบบบ้านขนาดเข้าใจอย่างถ่องแท้
ผมเถียงตายเลยหรือ จะพนันกันก็ได้.." ผมยังพูดต่อโดยไม่ทันสังเกตุรอยยิ้มลี้ลับของลุงทอม
"พนันกับผมไหมล่ะลุง ..."
ผมท้า
" และถ้าลุงพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของบ้าน 3 ใน 10 คนนี่ ดูแบบเข้าใจอย่างถ่องแท้ล่ะทิดฉุยจะให้อะไรลุง"
ลุงทอมทำท่าขึงขัง
"ลุงอยากได้อะไรล่ะ สำหรับผมนะถ้าลุงแพ้ ลุงต้องลงไปดูงานต่างจังหวัดกับผม.."
ผมหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาชนะลุงทอมให้ได้ ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว
เจ้าของบ้านที่ไหนจะเข้าใจเรื่องแบบก่อสร้างอย่างถ่องแท้
"ถ้าทิดฉุยแพ้ลุง ทิดฉุยต้องไปถางหญ้า ในสวนหลังบ้านลุง โอเคไหม.."
" ตกลงลุง.."
ผมถูมือด้วยความดีใจ
" ลุงจะพิสูจน์ให้ทิดฉุยเห็นนะ เอาง่าย ๆ เลย
โดยเอ่ยชื่อเจ้าของบ้านที่สร้างบ้านมาให้ทิดฟัง แต่ละคนทิดรู้จักทั้งนั้นเพราะเห็นคุยกันอยู่.."
"ว่ามาเลยลุง หากแพ้ก้อย่าเบี้ยวผมละกัน.."
ผมคิดว่าผมเป็นต่อเต็มท
" คุณจำรัส คุณทนง คุณประกายดาว..."
ลุงทอมเริ่มลำดับรายชื่อเจ้าของบ้านที่เราดิวงานด้วยกัน
" โอ โอ่ โอ้ โอ๊ โอ๋..เจ้าของบ้านทุกท่านที่ลุงว่ามานี้ ผมจัดให้อยู่ในกลุ่ม 8 ใน 10 เลย
คือดูแบบไม่เข้าใจ เพราะแต่ละคนพูดมาอย่างนั้น ลุงยังเคยได้ยินเลยจริงไหม"
" ไม่ว่ากัน เอ้าต่อ คุณราตรี คุณกำธร คุณสงวน และ คุณมาลี.."
ลุงแกว่า
"กลุ่มนี้ พอมีบางท่านเท่านั้น ที่เข้าใจเรื่องแบบก่อสร้างแต่ก็ไม่มากนัก หรือลุงจะเถียงผม.."
ผมทำท่าเหมือนกำลังจะได้รับชัยชนะจากลุงทอมยังไงยังงั้น
ลุงทอมสบตาผมแบบที่มีเลศนัยอะไรบางอย่าง ท่าทางแกไม่เหมือนคนที่จะแพ้เลย
" ไม่เถียงก็ยอมรับเหมือนอย่างที่ทิดว่านั่นแหละ "
แน่ะลุงแก้ยิ้มอีกแล้ว
" เหลือสามรายสุดท้าย ถ้าลุงบอกออมาแล้วมีรายไดรายหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องแบบก่อสร้างจริงๆ ลุงต้องแพ้ผม.."
ผมรุกไล่ลุงทอม โอ..ชัยชนะมันช่างหอมหวลอะไรเช่นนี้ ลุงทอมแพ้ผมก็ต้องลงไปดูงานต่างจังหวัดเป็นเพื่อนผม
"ว่ามาเลยลุง อย่าช้า สามล้อคอย.."
ผมกระชุ่นเร่งเร้า
"ไอ้ชิด ไอ้หนอม ไอ้หวัง..."
เสียงลุงแกว่า บูชิต ถนอม สมหวัง เป็นเพื่อนผมเองจบก่อสร้างมาด้วยกัน เคยมากินเหล้ากับลุงบ่อย ๆ
"อย่าเลยลุง ไอ้พวกนี้มันพรรคพวกเราทั้งนั้น อยู่ในวงการเดียวกัน
ถ้ามันไม่เข้าในใจเรื่องแบบก่อสร้างแล้วละก้อ มันคงทำมาหารับประทานไม่ได้..แล้ว..."
เสียงผมขาดหายไปแค่นั้น เมื่อเริ่มสำเนียกในลูกล่อลูกชนของลุงทอม
" ได้ไงหลานรัก ลุงทอมกระเซ้าผม "ไอ้ชิด ไอ้หนอม ไอ้หวัง
แต่ละคน สร้างบ้านเป็นของตัวเองทั้งนั้น ในรอบ 4 ปีมานี้"
"นี่แหละเว้ย เจ้าของบ้านที่เข้าใจเรื่องแบบก่อสร้างอย่างถ่องแท้ของลุง 3 ใน10 รายไง หรือ ทิดจะปฏิเสธ.."
ครับ สรุปอาทิตย์ต่อมาหลังจากที่ไปดูงานต่างจังหวัดคนเดียวแล้ว ยังต้องไปถางหญ้าที่บ้านลุงทอมอีก
โธ่..ลุงหนอลุง
@@@
ครับ เมื่อได้รับแบบก่อสร้างมา เจ้าของบ้านจะจ้างให้สถาปนิกทำให้
หรือซื้อแบบสำเร็จรูปมา ผมเชื่อว่าเจ้าของบ้านทุกราย ก็คงต้องพลิกดูทุกหน้า
สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเห็นแบบก่อสร้าง หรือเห็นแบบผ่านๆผมขออธิบายให้ฟังสักนิดนะครับ
แบบก่อสร้างนั้น มีส่วนประกอบหลัก ๆ คือ
ส่วนที่เป็นปก สารบัญแบบ รายการประกอบแบบ รายการวัสดุ แผนที่ที่ตั้งของบ้านหลังที่จะสร้างในแบบ
ส่วนที่สอง คือ แบบสถาปัตยกรรม ประกอบด้วย แปลนบ้านที่ลงในผังบริเวณ
หรือ แปลงที่ดินที่จะปลูกสร้าง แปลนชั้นต่าง ๆ รูปบ้านด้านซ้าย ขวา หน้า หลัง รูปตัด
แบบขยายทางสถาปัตย์ เช่น ขยายบันได ขยายห้องน้ำ ขยายราวระเบียง
แบบขยายประตูหน้าต่าง แบบฝ้าเพดาน ฝ้าชายคา และแบบขยายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบบสถาปัตยกรรม
ส่วนทีสาม คือ แบบทางด้านวิศวกรรม แบบเสาเข็ม แบบฐานราก แบบคานแบบเสา
แบบพื้นทั้งหล่อในที่ และ แบบพื้นสำเร็จ รูปขยายบันได รูปขยายพื้นหล่อในทีเป็นต้น
ส่วนที่สี่ คือแบบไฟฟ้า ซึ่งประกอบไปด้วย แบบแปลนไฟฟ้า และ แปลนปลั๊กไฟฟ้า
ส่วนที่ห้า คือ แบบสุขาภิบาลภายใน และ ภายนอก
ที่มา: โดย ทิดฉุย - selectcon.com
แสดงความคิดเห็น (1)
ตอบข้อสงสัย ลดค่าโอน-จำนองบ้านที่ดิน ปี’65
จากหลายคำถามเรื่องหลักเกณฑ์เรื่องการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง จากมติครม.ขยายเวลาเริ่ม 18 มกราคม-31 ธันวาคม 2565 วันนี้เราหาคำตอบมาให้แล้วค่ะ,เคลียร์กันชัดๆไปเลยอะไรได้อะไรไม่ได้!!
1. ลดให้เฉพาะกรณีที่ซื้อจากผู้จัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินหรือจากผู้ประกอบการที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด หรือจากการจัดสรรที่ดินโดยทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล
2. ผู้ซื้อต้องเป็นบุคคลธรรมดา สัญชาติไทย เท่านั้น
3. เป็นการโอน(ซื้อขาย)อย่างเดียว หรือการโอน(ซื้อขาย)แล้วจำนองในคราวเดียวกัน
4. การจดทะเบียนประเภทขายฝาก, ขายทอดตลาด,ขายตามคำสั่งศาล,โอนชำระหนี้,โอนชำระหนี้จำนองหรือกรรมสิทธิ์รวมมีค่าตอบแทน รับให้หรือรับมรดกแล้วนำมาจำนอง,ไม่ได้รับลดค่าธรรรมเนียม
5. ได้ลดเฉพาะกรณีที่อยู่อาศัยใหม่เท่านั้น ได้แก่ ที่ดินพร้อมอาคารประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์รวมถึงคอนโด (ที่ดินจัดสรรเปล่าไม่ได้)
6. ราคาซื้อขายและวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่อย (กรณีซื้อขายและจำนองเกินกว่า 3 ล้านบาทต่อหน่วยต้องเสียค่าธรรมเนียมตามปกติทั้งหมด)
7. ค่าธรรมเนียมการโอนลดจากร้อยละ 2 ของราคาประเมินทุนทรัพย์ เหลือร้อยละ 0.01 ของราคาประเมินทุนทรัพย์
8. ค่าธรรมเนียมการจำนองได้รับลดค่าธรรมเนียมจากร้อยละ 1 ของวงเงินจำนอง เหลือร้อยละ 0.01 ของวงเงินจำนอง
9. การเก็บภาษีอากร หัก ณ ที่จ่าย เรียกเก็บภาษีอากรตามปกติ
10. การบังคับใช้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ที่มา: Home Buyers Team
แสดงความคิดเห็น
ข้อควรรู้ไว้ เกี่ยวกับการตรวจรับบ้านก่อนรับโอน-อยู่อาศัย
การตรวจรับบ้าน คือ การตรวจสอบงานขั้นสุดท้ายก่อนจะลงนามรับบ้าน หรือเรียกว่าสั้นๆ ว่า เซ็นรับโอน เป็นขั้นตอนที่ท่านเจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญและต้องใช้ความละเอียดถี่ถ้วนมากๆ ในการพิจารณา เนื่องจากเมื่อท่านผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว ถือว่าเรายอมรับกับสภาพบ้านที่โครงการขายให้เรา การร้องขอให้โครงการแก้ไขบ้านหลังจากเซ็นรับโอนมักเป็นเรื่องที่ยาก เพราะทางโครงการมักจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขงานให้กับลูกค้าที่ยังไม่ยอมเซ็นรับโอนก่อนเพื่อปิดยอด ดังนั้นท่านอาจจะต้องยอมใจแข็งสักหน่อย ต้องให้บ้านผ่านมาตรฐานทางการก่อสร้างและเรามีความพึงพอใจก่อนที่จะเซ็นรับนะครับ
อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ อาจไม่มีความรู้ทางด้านการก่อสร้างหรือความรู้ทางด้านสถาปัตย์ อาจจะไม่ทราบว่าต้องตรวจรับบ้านตอนไหน และหากถ้าจะตรวจสอบบ้านต้องดูส่วนไหนบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะ Baania มีคำแนะนำในทุกขั้นตอนการตรวจรับบ้านแบบง่ายๆ ให้ท่านสามารถนำไปทำตามได้จริง
1. เตรียมตัวก่อนไปตรวจรับบ้าน
เมื่อทางโครงการแจ้งว่าพร้อมสำหรับการตรวจบ้าน ท่านก็ควรทำการนัดหมายเพื่อเข้าไปตรวจสอบครับ โดยควรนัดเป็นช่วงเช้าเพื่อจะไม่ต้องเสียเวลาล่วงเลยจนไปถึงช่วงกลางคืนซึ่งทำให้มีแสงไม่พอสำหรับการตรวจบ้าน แนะนำว่าไม่ควรนำเด็กไปด้วยครับ เนื่องจากจะทำให้วุ่นวายในการตรวจได้ ทั้งนี้ท่านควรแจ้งทางโครงการว่าอาจจะขอบันไดสำหรับปีนขึ้นไปดูบนเหนือฝ้าเพดาน หรือใช้ปีนเพื่อมองความเรียบร้อยของหลังคา
อย่างไรก็ตาม ท่านตรวจสอบเฉพาะในส่วนที่มองเห็นได้ก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของโครงสร้างที่มองไม่เห็น อาจจะสอบถามระบบการก่อสร้างหรืออ้างอิงจากคุณภาพงานก่อสร้างโดยรวมก็ได้ครับ นอกจากนี้ควรขอเอกสารใบโฆษณาต่างๆ ให้ครบถ้วน เพราะเอกสารเหล่านี้จะใช้ร่วมในการตรวจสอบ และเอกสารนี้จัดเป็นสัญญาที่สามารถใช้อ้างอิงตามกฎหมายได้
2. เตรียมอุปกรณ์สำหรับตรวจรับบ้าน
ก่อนจะเข้าไปตรวจบ้าน ท่านก็ต้องมีการเตรียมพร้อมอุปกรณ์ไปให้ครบเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบและทำเครื่องหมายจุดที่ต้องการให้โครงการแก้ไขได้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นเครื่องเตือนความจำสำหรับตัวท่านเองและยังช่วยประหยัดเวลาให้กับทางโครงการอีกด้วย อุปกรณ์ที่ควรติดตัวไปมีดังนี้ครับ
> กระดาษจดข้อมูล เป็นแบบฟอร์มตารางเปล่า ที่มีหัวข้อและรายการ โดยแนะนำให้เป็น A4 เพื่อให้ง่ายต่อการถ่ายเอกสาร
> ดินสอ ยางลบและปากกา สำหรับการจดแนะนำให้ใช้ดินสอ เนื่องจากสามารถลบได้ ส่วนปากกาใช้ในการเซ็นสัญญาหรือจดข้อมูลต่างๆ
> ผังแบบแปลนบ้าน อาจจะขอข้อมูลจากโครงการหรือถ่ายเอกสารจากใบโฆษณา ควรเขียนสัญลักษณ์ขอบเขตที่ดิน
> ตลับเมตรหรือสายวัด ใช้สำหรับวัดระยะต่างๆ ว่าตรงตามแบบบ้านที่ได้มาหรือไม่
> อุปกรณ์ทำเครื่องหมาย ใช้เทปพันสายไฟ หรือเทปกาวชนิดที่ลอกแล้วไม่ทำให้ผิววัสดุเสียหาย หรือเป็นพวกชอล์กเขียน
> คัตเตอร์หรือกรรไกร ใช้สำหรับตัดเทปพันสายไฟ หรือใช้แกะพลาสติกหุ้มของต่างๆ
> ไฟฉาย ใช้ส่องบริเวณที่มืด เช่น บนฝ้าเพดาน ช่องท่องานระบบ หรือที่ๆ มีแสงสว่างน้อย
> ถังน้ำ ใช้รองน้ำ สำหรับเททดสอบส่วนที่ต้องการทดสอบการลาดเอียง การระบายน้ำ เช็ควัสดุหรืออุปกรณ์ที่รั่ว
> เศษผ้า ใช้เช็ดมือ หรือเช็คบริเวณที่น้ำซึม สามารถใช้อุดท่อขังน้ำเพื่อตรวจสอบการระบายน้ำ
> ไม้ตรงยาวๆ ใช้สำหรับตรวจสอบระนาบต่างๆ ว่ามีความเรียบหรือไม่
> ลูกแก้วหรือลูกเหล็ก ใช้ทดสอบความลาดเอียงของพื้น
> ขนมปัง ใช้เป็นตัวแทนสิ่งปฎิกูล สำหรับตรวจสอบระบบชักโครก
> กล้องถ่ายรูป ใช้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานประกอบการแจ้งซ่อม
> อุปกรณ์ไฟฟ้า ใช้ตรวจสอบปลั๊กไฟฟ้าว่าสามารถใช้งานได้
> ไขควงวัดไฟ สำหรับใช้ตรวจสอบไฟฟ้าในระบบ (สำหรับผู้ชำนาญแล้วเท่านั้น)
> ถุงมือยางและรองเท้ายาง ใช้สำหรับป้องกันในการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในระบบ (สำหรับผู้ชำนาญแล้วเท่านั้น)
3. ตรวจตามเช็คลิสต์
มาถึงวิธีการตรวจบ้านแล้วครับ แนะนำว่าท่านควรใช้วิธีตรวจให้เสร็จเป็นห้องๆ โดยเริ่มตั้งแต่ประตูหน้าบ้าน ไล่ไปจนถึงห้องที่อยู่ด้านในสุด โดยที่ไม่ต้องเดินย้อนเส้นทางเดิม และใช้การตรวจสอบโดยไล่สายตาจากพื้นไปจนถึงฝ้าเพดาน วิธีนี้อาจจะช่วยกันตรวจหลายคนเพื่อให้ไม่พลาดรายละเอียดจุดใดจุดหนึ่ง หรืออาจจะแบ่งหน้าที่กันว่าคนหนึ่งเป็นคนจดบันทึก อีกคนเป็นทำเครื่องหมายและถ่ายรูป โดยมีรายละเอียดในการตรวจรับบ้านแต่ละส่วน ดังนี้
3.1 นอกบ้าน
ได้แก่ การตรวจสอบรั้ว ประตูรั้ว ดินถมรอบบ้าน สวน ระบบสระน้ำ ที่จอดรถ ทางเดินนอกบ้าน และ การระบายน้ำ โดยตรวจไล่ไปตั้งแต่ประตูรั้วและรั้วว่า มีการก่อสร้างที่แข็งแรง ใช้งานได้ปกติดี ปลอดภัย แล้วจึงมาดูในส่วนของการจัดสวนภายรอบบ้านว่า งานระบบในสวนสามารถใช้งานได้อย่างปกติ ต้นไม้มีการแกะถุงพลาสติกก่อนปลูก และเป็นต้นไม้ที่ย้ายมาปลูกอย่างถูกต้อง ต้นไม้ไม่ตายเร็ว หรือดูความเรียบร้อยของการถมดิน การปลูกหญ้า และการจัดการน้ำของระบบสระน้ำ หรือสระว่ายน้ำต้องใช้งานได้อย่างปกติ ไม่มีสิ่งใดอุดตัน และสุดท้ายก็ต้องดูเรื่องการระบายน้ำ ว่าสามารถระบายน้ำจากในบ้านไปยังนอกบ้านได้ดีหรือเปล่า
3.2 งานโครงสร้าง
ได้แก่ การตรวจสอบเสา คาน ผนัง หรือส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างอาคาร โดยจริงๆ แล้วท่านควรเข้ามาดูตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างเพื่อให้เห็นโครงสร้างภายในก่อนเทปูน อย่างไรก็ตามหากเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ให้ใช้การตรวจสอบด้วยการสังเกตุ โดยเฉพาะในส่วนโครงสร้างที่ต้องมีความแข็งแรงและได้มาตรฐาน ไม่มีรอยร้าวประเภทที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้าง ผนังไม่มีการล้มเอียง หรือคานโค้งงอที่ทำให้ดูไม่ปลอดภัย
ส่วนงานพื้น ได้แก่ การตรวจสอบโครงสร้างพื้น การตรวจสอบการปูวัสดุพื้น และการเลือกใช้วัสดุให้ถูกต้องตามการใช้งาน โดยการตรวจโครงสร้างพื้นต้องตรวจสอบด้วยการเคาะหรือการทดลองเดินให้ทั่วว่า ปูนใต้วัสดุปูพื้นต้องแน่น ไม่เป็นโพรง ต้องมีการเทปรับระดับก่อนการปูวัสดุ
ส่วนการตรวจสอบการปูวัสดุพื้นนั้น พื้นแต่ละประเภทต้องปูได้ถูกต้องตามวิธีการ วัสดุพื้นปูได้เรียบเนียน ลายวัสดุพื้นถูกต้อง ไม่มีคราบสิ่งสกปรกและคราบปูนติดตามวัสดุปูพื้น หรือต้องมีการทายาแนวที่เรียบร้อย สวยงาม และไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึมสำหรับวัสดุพื้นกระเบื้อง รวมไปถึงการตรวจสอบว่าใช้วัสดุพื้นที่ถูกต้องหรือไม่ เช่น ไม่ควรใช้พื้นที่ไม่ถูกกับน้ำไปปูนอกบ้าน เป็นต้น
3.3 งานผนัง
ได้แก่ การตรวจสอบการฉาบผนัง การตรวจสอบวัสดุปูผนัง และการตรวจสอบบัวเชิงผนังบัวพื้น โดยผนังปูนต้องฉาบได้เรียบสม่ำเสมอ ไม่มีส่วนใดปูดหรือเป็นหลุม โดยใช้ไม้ยาววางทราบเพื่อดูระนาบ และไม่มีรอยร้าว นอกจากนี้ควรสอบถามกับทางโครงการว่าใช้วัสดุก่อผนังเป็นอะไร และใช้ปูนอะไรฉาบผนัง เพราะถ้าใช้ผิดประเภทใช้ไปนานๆ ผนังปูนอาจจะหลุดร่อนและแตกร้าวต่อไปได้
ถัดมาก็เป็นการตรวจสอบวัสดุปูผนังหรือผนังทาสี โดยดูการติดตั้งวัสดุปูผนังต้องปูได้เรียบสม่ำเสมอ ถูกต้องตามวิธีการติดตั้ง ไม่มีคราบสกปรกหรือคราบปูนติด ถ้าเป็นผนังสี ก็ตรวจสอบการทาสีว่าทาได้เรียบสม่ำเสมอ เรียบเนียน โดยหากมีการแก้ไขหลายครั้ง ไม่ควรให้ช่างทาสีทับกันเกินกว่า 5 ครั้ง เพราะจะทำให้สีหลุดล่วงได้
นอกจากนี้ยังมีส่วนของการตรวจสอบบัวเชิงผนังหรือบัวพื้น มอบฝ้าหรือบัวฝ้าเพดาน โดยตรวจสอบวัสดุที่นำมาใช้ว่ามีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีสีหลุด การติดตั้งต้องติดตั้งได้เรียบชิดกับผนังและพื้น
3.4 งานประตูหน้าต่าง
ได้แก่ การตรวจสอบการติดตั้งวงกบ และการตรวจสอบประตูและหน้าต่าง วงกบต้องติดตั้งได้เรียบร้อยแนบติดกับผนัง วงกบต้องไม่มีรอยบิ่น มีการทำบังใบเรียบร้อย เมื่อปิดประตูบานต้องเรียบสนิทกับวงกบ และควรสอบถามว่ามีการทำเสาเอ็นรอบวงกบหรือไม่ เนื่องจากหากไม่ทำมักเกิดรอยร้าวเป็นแนวเฉียงที่ผนัง
ส่วนการตรวจสอบประตูและหน้าต่าง ท่านเพียงตรวจสอบการใช้งานในส่วนของตัวบานว่าเป็นของใหม่ ไม่ชำรุด ไม่มีรอยเปื้อน ถ้าเป็นบานกระจก ก็ต้องดูว่าไม่มีรอยแตก ติดตั้งได้แน่นหนากับตัวบาน และตรวจสอบว่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ที่ล็อก บานพับ และลูกบิด ทำงานได้ดีหรือไม่ โดยทดสอบจากการใช้งานซ้ำๆ กันหลายๆ ครั้ง โดยออกแรงมากกว่าปกติเพื่อดูความแข็งแรง
3.5 งานบันได
ได้แก่ การตรวจสอบวัสดุปูพื้นทำขั้นบันได และการติดตั้งราวบันได โดยตรวจสอบความเรียบร้อยของการก่อสร้างบันได บันไดแต่ละชั้นต้องมีขนาดเท่ากัน มีการเก็บงานเรียบร้อย วัสดุที่นำมาใช้เป็นขั้นบันได ควรเป็นวัสดุที่ไม่ลื่น หรือมีการติดตั้งจมูกบันได ส่วนการติดตั้งราวบันได ต้องมีการติดตั้งที่ความสูงถูกต้อง จับได้ถนัดมือ ราวบันไดและซึ่งบันไดต้องติดตั้งได้อย่างแน่นหนา ไม่โยกไป-มา
3.6 งานฝ้าเพดาน
ได้แก่ การตรวจสอบการติดตั้งฝ้าเพดาน โดยฝ้าเพดานจะมีหลายประเภทด้วยกัน หากเป็นฝ้าเพดานทีบาร์ เส้นทีบาร์ต้องเรียบสม่ำเสมอ รอยต่อต้องไม่เกยกัน แผ่นกระเบื้องซีเมนต์ที่ใส่ในช่องต้องมีขนาดเท่ากัน เมื่อวางเรียงแล้วต้องไม่มีช่องว่างระหว่างแผ่นกับเส้นทีบาร์ ถ้าเป็นฝ้าเพดานแบบยิบซั่มบอร์ดฉาบเรียบ บริเวณรอยต่อของแผ่นต้องมองไม่เห็นรอยยาแนว ควรเรียบเสมอไปกับฝ้าเพดานส่วนอื่นๆ
3.7 งานหลังคา
ได้แก่ การตรวจสอบการปูกระเบื้องหลังคา การตรวจสอบการรั่วซึม และการตรวจสอบวัสดุฝ้าเพดานที่ใช้ภายนอก หลักสำคัญคือหลังคาต้องปูได้เรียบร้อย และทำให้ไม่เกิดการรั่วซึม โดยอาจจำเป็นที่ต้องการรอฝนตก หรือจ้างรถน้ำมาทำฝนเทียมเลยทีเดียว เพราะถ้าเกิดการรั่วซึมเกิดขึ้น อาจจะมีผลต่อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านราคาแพงทำให้เกิดความเสียหายต่อไปอีกหลายต่อ โดยต้องปีนขึ้นไปดูใต้ฝ้า เพื่อดูว่ามีส่วนใดที่ปูกระเบื้องไม่เรียบร้อยและมีน้ำขังบนฝ้าเพดาน นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ภายนอกต้องเป็นชนิดกันชื้น
3.8 งานระบบไฟฟ้า
ได้แก่ การตรวจสอบระบบไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์ การตรวจสอบไฟฟ้าในระบบ ทำได้โดยการทดลองเปิดไฟทั้งบ้านดู ว่ามีส่วนใดไม่ติดหรือมีแสงสว่างออกน้อยผิดปกติ หรือทดลองนำอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำมาด้วย ไปทดลองเสียบปลั๊กดูว่ามีไฟฟ้าเข้าปกติหรือไม่ รวมไปถึงดูเรื่องการติดตั้งหลอดไฟแสงสว่าง การติดตั้งเต้าเสียบเต้ารับ และการเดินสายไฟว่ามีการก่อสร้างที่เรียบร้อย เป็นระเบียบ มีการเก็บงานดี และไม่มีคราบสกปรกติดตามอุปกรณ์ ในส่วนของงานระบบไฟฟ้า ระบบอินเตอร์เน็ตหรือการเดินสายไฟบนฝ้าเพดาน อาจจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างผู้ชำนาญทำจะดีกว่าครับ
3.9 งานสุขาภิบาล
ได้แก่ การตรวจสอบสุขภัณฑ์ และการตรวจสอบงานระบบน้ำและการรั่วซึม เริ่มจากการตรวจสอบระบบน้ำประปา หรือระบบปั้มน้ำต่างๆ ว่ามีการทำงานปกติหรือไม่ อีกทั้งท่านควรลองเดินตรวจตามท่อน้ำต่างๆ ว่ามีร่องรอยน้ำรั่วหรือไม่ และตรวจสอบการทำงานของมิเตอร์น้ำ โดยให้ลองปิดน้ำทั้งบ้าน และดูว่าตัวเลขยังหมุนอยู่หรือไม่ ถ้ายังหมุนอยู่แสดงว่าอาจจะมีจุดที่รั่วสักแห่ง
ต่อมาเป็นการตรวจสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ว่ามีสภาพสมบูรณ์ภายหลังติดตั้งหรือเปล่า โดยต้องทำงานได้ปกติ ไม่มีรอยขีดข่วนมากนัก ไม่มีการรั่วซึม ท่านอาจจะทดลองใช้งานอุปกรณ์หลายๆ ครั้ง ตรวจสอบระบบท่อน้ำทิ้งว่ามีการต่อท่อได้ดี ไม่มีการรั่วซึม อาจจะลองขังน้ำไว้ในอ่างล้างหน้า หรือขังน้ำไว้ในห้องน้ำ เพื่อทดสอบการการระบายน้ำหรือการรั่วซึม
4. การสรุปงานและส่งแก้ไข
หลังจากท่านได้ตรวจรับบ้านเรียบร้อย จดบันทึก รวมถึงถ่ายรูปจุดที่ต้องการให้ทางโครงการซ่อมแซมก่อนเซ็นรับโอนเรียบร้อยแล้ว ควรจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อแจ้งให้ทางโครงการรับทราบครับ โดยแนบรายการที่จดบันทึก และ รูปภาพเป็นหลักฐานอ้างอิงแนบตามไปด้วย ทางโครงการก็จะรับเรื่องเพื่อส่งต่อให้ช่างหรือส่วนอื่นๆ ดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากทางโครงการอ้างว่าอยากให้เซ็นรับก่อนแล้วจะซ่อมให้ทีหลัง หรือบ้านมีประกันแล้ว สามารถเซ็นได้เลย ท่านอาจจะต้องคุยให้ชัดเจนถึงความตั้งใจของเราว่าต้องการให้ซ่อมแซมก่อน หรือพูดคุยตกลงว่าส่วนไหนเป็นงานที่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากบางจุดอาจจะไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ถ้าต้องการให้ทางโครงการซ่อมแซมในส่วนเล็กๆ น้อยๆมากเกินไป อาจจะทำให้เราได้บ้านช้าไปอีกนานเลยครับ
สำหรับใครที่ต้องไปตรวจรับบ้านก่อนโอน Baania ได้จัดทำรายการที่ท่านต้องตรวจสอบไว้เป็นเอกสารเช็คลิสต์ ซึ่งท่านสามารถดาวน์โหลดเพื่อพิมพ์ออกมา และนำติดตัวไปตรวจหน้างานกันได้อย่างสะดวก ตามลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ
ที่มา: baania
แสดงความคิดเห็น (3)
คิดก่อนสร้างบ้าน
1. ปลั๊กไฟหน้าบ้าน
ข้างบ้าน โรงจอดรถหลายบ้านมักมองข้ามเพราะการใช้ไฟฟ้าเรามักนึกถึงเฉพาะพื้นที่ในบ้าน แต่จะมีบางครั้ง บางเวลาที่จำเป็นต้องใช้มัน หากไม่มีจำเป็นต้องลากสายปลั๊กพ่วงกันวุ่นวายเลย แต่ทั้งนี้การมีปลั๊กไฟไว้นอกบ้าน จำเป็นต้องวางในตำแหน่งที่เหมาะสม และควรติดตั้งฝาครอบกันสาด กันน้ำเข้าด้วยนะ
2. ห้องเก็บของ
ข้อนี้กลายเป็นข้อยอดนิยมที่สมาชิกต่างแนะนำมาว่าควรมีแยกไว้เลยหนึ่งห้องเพราะมันจำเป็นมาก เพราะหากไม่มีที่เก็บไว้สักห้อง สิ่งของก็รกทั่วไปทุกห้อง ทำให้จัดเก็บเป็นระเบียบยากนัก
3. ห้องน้ำนอกบ้าน
ในช่วงที่แขกมาเยี่ยม อาจทั้งคนสนิทหรือไม่สนิท หรือบางครั้งอาจเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักมาติดต่องาน หากเขาขอเข้าห้องน้ำ การจะให้เข้าห้องภายในบ้านอาจไม่สะดวกใจนัก หากมีห้องน้ำไว้นอกบ้าน ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดี สบายใจกว่ากันเยอะครับ
4. รางน้ำฝน
บางท่านอาจบอกว่าติดตั้งรางน้ำฝนแล้วดูไม่สวยงาม แต่หากคิดกันให้ดีๆ เมื่อฝนตกหากไม่มีรางน้ำฝน จะดูไม่สวยงามยิ่งกว่า เพราะส่งผลให้ทั่วทั้งบ้านเปียกแฉะไปอย่างรวดเร็ว มีรางน้ำฝนไว้เก็บน้ำใช้ประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วย
5. แทงก์เก็บน้ำ
แม้ยุคนี้น้ำประปาจะทั่วถึง แต่ก็ใช่ว่าจะไหลเป็นปกติได้ตลอด น้ำเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต จึงควรเก็บสำรองไว้ใช้ ให้มีเพียงพอที่จะใช้ต่อได้ประมาณ 3 วัน ให้นึกถึงช่วงเกิดภัยพิบัติ น้ำท่วม หรืออื่นๆ ที่ระบบประปาไม่สามารถทำงานได้ อย่ารอให้ทางการมาช่วยเหลือ ควรป้องกันการช่วยเหลือตนเองไว้ก่อนย่อมดีกว่าแน่นอน
ที่มา : https://www.idroof.com/article/30/
แสดงความคิดเห็น (1)
รีโนเวทห้องนอน
รีวิว “รีโนเวทห้องนอน” เปลี่ยนจากห้องนอนไม้เก่าๆ เป็นห้องนอนสีขาวแสนสวย ด้วยงบประมาณเพียง 2,530 บาท ที่มา : SHi Mon
https://ihome108.com/review-bedroom-revonation/
แสดงความคิดเห็น (1)
กระจกนิรภัย มีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร
หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของ กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass) มาก่อน เพราะกระจกชนิดนี้เป็นกระจกนิรภัยที่นิยมใช้ในการตกแต่งหรืองานสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย แต่นอกจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ ก็ยังมีกระจกชนิดอื่นอีกเช่นกันที่สามารถใช้เป็นกระจกนิรภัยได้ จะมีกระจกชนิดไหนบ้าง
-->
แสดงความคิดเห็น (3)
บ้านทรงกล่องๆที่อยากอยู่... ถ้าทำแบบนี้งบประมาณเท่าไรแนะนำหน่อยคัฟ
อยากได้บ้านทรงแบบนี้ ถ้าประเมินราคาจากรูป จะประมาณเท่าไรคัฟ ถ้าในบ้านหลังนี้มี 2 ห้องนอน 1 นั่งเล่น 1 ครัวโมเดิร์น 2 ห้องน้ำ หรือข้างในทำแบบกึ่งๆชั้นลอยแนวสตูดิโอสำหรับอยู่สองคนก็ได้คับ วัสดุๆ ทนทน ไม่เอาไม้ หรือจะใช้ไม้เทียมแต่ทนก็ไม่ติดนะคัฟ... พี่ๆ ผู้รับเหมาช่วยแนะนำหน่อยคัฟ เผื่อได้มีโอกาสร่วมงานกันคัฟ
แสดงความคิดเห็น